มั่นคงว่าธรรมเป็นธรรมจึงจะละโลภะได้
คุณอุไรวรรณ มีคำถามจากผู้ร่วมสนทนา ที่ว่าโลภะเป็นโทษ แต่กลับไม่ค่อยรู้ แล้วสติปัฏฐานจะเกื้อกูลได้อย่างไร ให้เห็นโทษ และค่อยๆ ละได้ จนถึงละได้หมด ช่วยกรุณาชี้แนะว่าขั้นตอนแต่ละขั้นเป็นอย่างไรบ้างคะ เพื่อที่จะได้เข้าใจยิ่งขึ้น ขอบพระคุณค่ะ
สุ. ขั้นตอน คือ ฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่า โลภะเกิดเมื่อไร และมีโทษในขณะไหน เพราะเหตุว่าโลภะเป็นเหตุของทุกข์ ขณะที่กำลังเพลิดเพลินยินดีพอใจ ใครเห็นบ้างว่าเป็นทุกข์ สนุกออก นักมวยชกกัน อันนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ขณะนั้นที่เป็นโลภะจะรู้ไหมว่าเป็นทุกข์ แต่คนหนึ่งแพ้ มาแล้วทุกข์ ใช่ไหมคะ
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์ เมื่อไม่ปรารถนาสิ่งใด แล้วก็ประจวบหรือพบกับสิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์ แต่ไม่ใช่ทุกขอริยสัจจะ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นทุกขอริยสัจจะจริงๆ ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับ อยู่ที่ไหนละคะ เพียงแค่เกิดให้เห็น ให้รู้ ให้ได้ยิน แล้วหมดไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย แต่ใจที่มีความติดข้องต้องการ แสวงหา ดิ้นรน เพื่อที่จะให้ได้ ขณะที่มีความต้องการแสวงหา ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์เท่าไร เพราะความอยากหรือความต้องการ มี แต่ถ้าไม่ได้ก็เป็นทุกข์
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แม้ทุกข์อย่างนั้น ก็เป็นทุกข์ที่เพียงพอที่จะเห็นว่า เป็นโทษ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีโลภะ เพียงแค่คิด สบายไหมคะ สบายที่สุด ไม่ต้องติดข้องอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่ต้องอยากได้อะไร ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะอะไร แต่ว่าถ้ารับประทานอาหาร อาหารไม่อร่อย ไม่ชอบเลย รู้ไหมว่า เนื่องมาจากความติดข้องในรสที่ต้องการ แต่เมื่อไม่ได้รสที่ต้องการ ก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นก็บังกันไปบังกันมาอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุของทุกข์ แล้วเวลาที่ไม่ได้สิ่งที่พอใจก็เป็นทุกข์ ได้สิ่งที่ไม่ชอบ ก็เป็นทุกข์ แต่ว่าทั้งหมดเกิดแล้วดับ ตามเหตุตามปัจจัย ใครจะบังคับไม่ให้เกิด ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
เพราะฉะนั้นการที่จะพยายามไม่ให้เกิดทุกข์ หรือจะให้เห็นว่าโลภะเป็นทุกข์ ด้วยความเป็นเรา ไม่มีทางเลย เพราะเป็นแต่เพียงความคิด ทั้งๆ ที่โลภะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไปทุกข์กับโลภะที่ดับหรือเปล่าคะ ดับไปแล้ว แต่เพราะความไม่รู้ ทุกข์ทั้งหมดก็มาจากความไม่รู้
ด้วยเหตุนี้การที่จะเห็นว่า โลภะเป็นทุกข์ ก็เพราะเหตุว่าต้องเห็นการเกิดขึ้น และดับไป ต้องมีการฟัง และพิจารณาจริงๆ เป็นผู้ที่มั่นคงในการที่จะเข้าใจว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นคนหนึ่งคนใดเลยทั้งสิ้น และลักษณะของสภาพธรรมก็เกิดเพราะเหตุปัจจัยแต่ละประเภท บังคับไม่ให้คุณนิภัทรเสียใจ บังคับได้ไหมคะ
อ.นิภัทร ไม่ได้ครับ
สุ. ตัวเองก็บังคับไม่ได้ เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นจะละทุกข์ได้ ก็ต่อเมื่อมีปัญญาที่มีความเห็นถูกในสภาพธรรมว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แล้วเมื่อไรจะถึงขณะนั้น โลภะมาอีกแล้ว ใช่ไหมคะ มาเสมอ แล้วเมื่อไร ไม่เห็นแล้วว่าเป็นโลภะ แต่ความจริงขณะนั้นเดือดร้อนไหมคะ ไม่ถึงสักที ฟังก็นานแล้ว แล้วเมื่อไรจะหมดได้ มากมายเหลือเกิน สะสมมานานแสนนาน แล้วชาตินี้ก็ยังสะสมต่อไปอีก และก็จะสะสมไปเรื่อยๆ อีก แล้วเมื่อไรจะหมด
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเป็นการฟังด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า เป็นธรรม มั่นคงขึ้น ไม่เดือดร้อนเลย เพราะรู้ว่า ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นไปเกิดขึ้นแม้แต่ปัญญา ก็ต้องเป็นไปตามลำดับขั้นของความเข้าใจถูก ซึ่งเริ่มจากการฟัง เป็นผู้ที่แยบคาย คือ พิจารณาด้วยความถูกต้อง และมั่นคงในความเป็นอนัตตา ก็เป็นเรื่องที่ต้องฟัง และเข้าใจเพิ่มขึ้น ถ้าไม่เข้าใจแล้วก็จะไปหาหนทางที่จะไปไม่ให้มีโลภะ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ที่มา ...