ตรงต่อสภาพธรรม - ตามรู้
ผู้ฟัง ขอให้ท่านอาจารย์ขยายข้อความที่ว่า ตรงในสภาพธรรม
สุ. ค่ะ ขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏแล้ว จะรู้อะไร จะฟังอะไร จะเข้าใจอะไร
ผู้ฟัง ทีนี้ถ้าสติไม่เกิด แล้วจะตรงได้อย่างไรคะ
สุ. ตรงที่จะมีความมั่นคงว่า ฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อลาภ หรือเพื่อยศ หรือเพื่อสรรเสริญ หรือเพื่อสุข จะได้ไปเกิดในสวรรค์ เป็นผลของกุศลขั้นฟัง ก็ไม่ใช่ จุดประสงค์ของการฟังเพื่อมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏ
พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยสัจจะ ตรงต่อความจริงที่ว่า บำเพ็ญพระบารมีเพื่อรู้ความจริงของสภาพธรรม เพื่อทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประกอบด้วยพระญาณที่สามารถทรงแสดงธรรม พร้อมด้วยพระญาณต่างๆ ที่จะเกื้อกูลสัตว์โลก เพราะเห็นว่าถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีการรู้ความจริงของสภาพธรรม ก็ไม่มีการสิ้นสุดของสังสารวัฏฏ์ ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่จะช่วยได้เลย ที่จะทำให้พ้นจากการเกิดแล้วเกิดอีก หรือแม้แต่ในชาตินี้ชาติเดียว วันแล้ววันเล่า ก็ซ้ำไปซ้ำมา เห็นเมื่อวานนี้ วันนี้ก็เห็น พรุ่งนี้ก็เห็น หิว อร่อย สนุกสนาน ก็แค่ชั่ว ๗ ขณะ ถ้ารู้ความจริงเป็นสภาพธรรมที่เกิด และมีอายุที่สั้นมาก เพียงเท่านั้นเอง แต่ความคิดเรื่องสิ่งที่มีมากมายมหาศาล ด้วยความไม่รู้ ทำให้มีการปรุงแต่งต่างๆ มีการติดในลาภ ต้องการสิ่งที่ปรากฏ เพราะไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วไม่เที่ยงเลย ต้องการยศ ให้มีคนอื่นเคารพนับถือ ต้องการสักการะให้มีคนกราบไหว้บูชา หรือต้องการสรรเสริญให้คนชมยกย่อง แต่จริงๆ แล้ว ไม่มีคน เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิด แล้วก็มีอายุสั้นมาก จิตเจตสิกเกิดแล้วก็ดับไป มีอายุเพียง ๓ ขณะ อุปาทขณะ ฐิติ ภังคะ เท่านั้นเอง รูปก็มีอายุที่สั้นมาก และทุกอย่างก็ปรากฏเพียงชั่วระยะวาระหนึ่ง แล้วก็มีภวังค์คั่น ยังไม่ต้องถึงฝัน ยังไม่ต้องถึงหลับ ยังไม่ต้องถึงหลับ ขณะนี้ก็เป็นอย่างนั้น คือสั้นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีผู้ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมนี้ จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏหรือ ก็จะหลงไป เพลินไป สนุกไป ไม่คิดว่า สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด หรือความรู้จริงๆ ไม่ใช่ความรู้เรื่องโลก เรื่องวิชาการต่างๆ เพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นการรู้เรื่องด้วยความเป็นตัวตน ด้วยการไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมซึ่งมีจริงๆ และไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนด้วย และการรู้วิชาอื่นทั้งหมดไม่สามารถให้คลายโลภะ โทสะ โมหะได้เลย ยังเต็มไปด้วยโมหะ ต่อให้มีความรู้ มีเงินทองมหาศาล ก็ไม่สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏได้ ก็ยังหลงภูมิใจในความรู้ ยังหลงในวิชาการต่างๆ ได้
ด้วยเหตุนี้ความรู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์ให้สัตว์โลกได้เข้าใจ ก็คือทรงเทศนา ไม่ใช่ให้ทำอย่างอื่นเลย เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของความเห็นถูก ซึ่งเป็นปัญญาเท่านั้นที่สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏได้ ไม่ใช่ให้ไปนั่งทำอย่างอื่น แล้วเข้าใจว่าจะมีปัญญา อย่างบางคนก็ติด คิดว่าจะต้องทำอย่างอื่น แล้วจะไปรู้ เกิดปัญญาขึ้น แต่เขาไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เกิดแล้วปรากฏ ขณะใดก็ตามที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น สิ่งนั้นดับไปแล้วทุกขณะ ไม่สามารถรู้ความจริงได้
ด้วยเหตุนี้บางคนสงสัยคำว่า “ตามรู้” พอได้ยิน แล้วตามรู้ทำอย่างไร ไม่ใช่เรื่องทำเลย ต้องเป็นเรื่องเข้าใจ แม้แต่คำว่า “ตามรู้” ตามรู้ หมายความว่า มีสิ่งหนึ่งเกิดแล้ว ไม่ใช่ยังไม่เกิด แล้วไปตามได้ สิ่งนั้นกำลังมี ไม่ใช่ไปคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด ตามรู้ คือ รู้ในขณะที่สิ่งนั้นยังมีให้รู้ แต่ส่วนใหญ่จะคิดว่า เราจะทำ เราจะเพียร เราจะไปรู้อย่างอื่น ซึ่งขณะนั้นไม่ได้รู้สิ่งที่มีแล้ว แต่จะไปทำเพื่อที่จะรู้สิ่งที่ยังไม่มี
เพราะฉะนั้นทรงใช้คำว่า “ตามรู้” เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่เกิดแล้ว ถ้าไม่รู้สิ่งที่เกิดแล้ว คือ ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีลักษณะนั้นๆ ที่ปรากฏ ก็ไม่สามารถรู้ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมนั้นๆ ได้
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นความรู้ความเข้าใจในขั้นของการฟัง ก็ไม่สามารถทำอะไรกิเลสได้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นสติปัฏฐานเท่านั้นใช่ไหมคะ รู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมเท่านั้นถึงจะทำอะไรกับกิเลสได้เท่านั้น ใช่ไหมคะ
สุ. ค่ะ การฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่กำลังปรากฏมีจริง รู้หรือยัง ถ้ายังไม่รู้ ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง ประจักษ์ความจริงนั้นหรือยัง ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ขณะที่กำลังเข้าใจต้องมีสติ แม้ขณะฟังในขณะนี้ก็มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ไม่ปรากฏลักษณะของสติ เพราะเหตุว่าเป็นขั้นฟัง ไม่ใช่ขั้นรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนั้น
เพราะฉะนั้นบางคนจะถาม เมื่อไรจะรู้ผัสสะ ทำอย่างไรจะรู้ผัสสะ แล้วเวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรียะ มนสิการเจตสิก ล้วนแต่ทำอย่างไร สิ่งที่มีขณะนี้ยังไม่รู้ แล้วจะไปคิดสิ่งที่ยังไม่รู้ สิ่งที่ไม่ปรากฏ
นี่คือเป็นผู้ที่ไม่ได้เข้าใจธรรม การฟังธรรม สำคัญที่สุด คือ เข้าใจว่า สิ่งที่มีในขณะนี้เป็นธรรม ถ้าสามารถมั่นคงว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะ ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจขึ้น ขณะนั้นก็สามารถถึงวันที่ประจักษ์แจ้งความจริง เพราะเหตุว่ากำลังเข้าใจสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้นความเข้าใจสิ่งที่มีจริง ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกว่าจะถึงกาลที่ไม่มีอะไรปิดบังสภาพเกิดดับของสภาพธรรมนั้นได้ แต่ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นจริงๆ ไม่ใช่เป็นความหวัง โดยไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ
ที่มา ...