เห็นโทษของอกุศลแม้เล็กน้อย
ท่านอาจารย์ เห็นเมฆบนท้องฟ้าที่ไกลแสนไกลแต่ยังรู้ได้ ด้วยปัญญาแม้เพียงเล็กน้อยก็เห็นความเป็นโทษของสิ่งนั้น ซึ่งคนไม่มีปัญญาจะไม่เห็น ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร ก็ดีแล้ว กายวาจาก็เรียบร้อยก็สงบดีแล้ว ไม่ได้กล่าววาจาที่แย่มากไม่น่าฟัง
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์เปรียบเทียบว่าเห็นเมฆบนท้องฟ้าหมายความว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ ใหญ่หรือไม่
อ.อรรณพ ใหญ่
ท่านอาจารย์ ไกลหรือไม่
อ.อรรณพ ไกล
ท่านอาจารย์ ยังเห็นได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาเห็นกิเลสแม้เพียงเล็กน้อยซึ่งคนอื่นไม่เห็น แต่เขาผู้นั้นเห็นเหมือนดุจเห็นเมฆก้อนใหญ่ในท้องฟ้า เห็นโทษถึงปานนั้นของกิเลสเพียงเล็กน้อย
อ.อรรณพ กิเลสแม้เพียงเล็กน้อยแต่ผู้ที่มีปัญญา ...
ท่านอาจารย์ เห็นเหมือนเห็นเมฆก้อนใหญ่ แล้วเราที่คิดว่าเล็กน้อยไม่เป็นไร ไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเป็นโทษ ติดข้องก็ไม่รู้ กำลังติดอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ เปรียบเทียบกับคนที่มีปัญญา ที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดยิ่งขึ้น จนเห็นโทษของสิ่งที่แม้เพียงเล็กน้อยที่คนอื่นไม่เห็น แต่บุคคลนั้นเห็น ดุจเห็นเมฆก้อนใหญ่ ไม่ใช่ก้อนเล็ก นี่คือเห็นโทษของอกุศลแม้ความติดข้องในความเป็น
อ.อรรณพ เห็นยากมาก
ท่านอาจารย์ ปัญญาก็ต้องตามลำดับ เดี๋ยวนี้ปัญญามีหรือเปล่า แล้วจะไปเห็นอะไร ทั้งๆ ที่ใหญ่โตมโหฬาร วาจาก็ทุจริต พูดไม่จริง พูดไม่น่าฟัง ประหัตประหารความรู้สึกของคนอื่น พูดเพ้อเจ้อสนุกดี ไม่เห็นเลย
อ.อรรณพ คิดว่าเป็นเสรีภาพที่จะพูดได้
ท่านอาจารย์ คิดว่าไม่เป็นโทษ แต่พระอรหันต์เห็นแม้เป็นโทษเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเป็นพระอรหันต์ต้องเห็นโทษ จึงสามารถที่จะละได้
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ความหมายของเห็นโทษ หรือความเห็นโทษมีหลายระดับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ใครเลย นอกจากปัญญาซึ่งไม่ใช่เรา ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสั้นๆ ใครจะรู้ และใครนั่นก็คือเราที่ไม่ได้ฟังธรรมหรือว่าฟังเพียงเล็กน้อย และยังเป็นผู้ที่ประมาท แต่ปัญญาที่ฟังแล้วด้วยความอดทน ขันติบารมี วิริยะบารมี ไม่ล้มเลิก ไม่ละเลย ไม่ท้อถอย ที่จะยากเท่าไหร่ ผู้ที่รู้แล้วมี รู้ได้อย่างไร แล้วคนอื่นที่ฟังแล้วเข้าใจไม่สามารถที่จะถึงหรือ ไม่ว่าจะเป็นอีกนานเท่าไหร่ก็ตาม ขึ้นอยู่กับเหตุคือปัญญาที่ถึงระดับที่จะรู้ความจริงตามลำดับขั้น จึงรู้ได้ ไม่ใช่อยากจะรู้ก็ไปทำให้เกิดความรู้ขึ้นมา เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจในคำว่าบารมีทุกบารมี