ประโยชน์คือเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้
อ.อรรณพ ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ก็คือ เพื่อให้เข้าใจความจริง ที่กำลังปรากฎเดี๋ยวนี้ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่คิดเรื่องของธรรมไปเรื่อยๆ ด้วยความเป็นเรา จากการสนทนา "ตติยอนาคตสูตร" ที่ มศพ. ๑๑ มกราคม ๒๕๖๓
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืม พระธรรมทั้งหมด ตรัสกับใคร ใครกำลังฟัง จิตไหนกำลังได้ยิน แล้วก็เรื่องอะไร แสดงให้เห็นว่าประมาทไม่ได้เลย ไม่ใช่ภิกษุที่กำลังเป็นอย่างนั้น แล้วเราหล่ะ เพราะว่าถ้าเรามัวแต่คิดถึงคนอื่น ก็อาจจะตายไปก็ได้ โดยที่ว่ายังไม่ได้เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ตรงนี้เป็นอะไร ทั้งๆ ที่ได้ยินได้ฟังบ่อยมากเลย ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้เป็นอะไร กว่าจะรู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรมทั้งหมดล้อมรอบ พ้นไหม ตั้งแต่เกิดมา ไม่พ้นเลย
เพราะฉะนั้น การที่กล่าวถึงเรื่องต่างๆ เช่นพระภิกษุในอนาคตกาล พระภิกษุเป็นใคร ก็คือเป็นธรรม แม้ว่าเป็นถึงภิกษุ สละอาคารบ้านเรือน คงจะคิดที่จะขัดเกลากิเลสในสมัยโน้นที่จะดำเนินชีวิตในกาลที่ได้ฟังพระธรรม ขัดเกลากิเลส ก็ยังเป็นอย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งของธรรมซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส ยากแสนยากที่จะค่อยๆ เอาออก เพราะเหตุว่า ขณะที่ฟัง มีกิเลสไหม เห็นไหม แล้วก็ฟังอีกตั้งมากมาย พระสูตรทั้งหมด พระวินัย พระอภิธรรม กิเลสอยู่ไหน ก็ยังอยู่ในจิต ยากแสนยากที่จะนำออกไปได้ ถ้าไปคำนึงถึงสิ่งอื่น
เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่กำลังของปัญญาว่า ทั้งหมดเป็นความจริงระดับไหน ที่จะเข้าใจแต่ละคำ ค่อยๆ ละเอียดขึ้น ทุกอย่างเป็นธรรม ฟังแล้วบางคนก็อนุโมทนา เข้าใจจริงๆ ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่าง ทรงแสดงความจริงทุกอย่าง แต่ แต่ละหนึ่งอยู่ไหน เดี๋ยวนี้ทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ธรรมอยู่ล้อมรอบ เป็นธรรมทุกอย่างไม่ต้องหาที่ไหนเลย แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เป็นธรรม ก็ยังพระภิกษุรูปนั้นรูปนี้ ประพฤติอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เป็นความคิดไปต่างๆ เพราะฉะนั้น เห็นไหม การฟังธรรมทุกอย่างกว่าจะรู้ว่า ประโยชน์จริงๆ ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสอะไร กับใครในครั้งโน้น ก็เหมือนกับ กำลังตรัสกับเรา ใช่ไหม เพื่อที่จะให้พิจารณาให้เข้าใจว่า ตามความเป็นจริงแล้ว แม้แต่เพียงคำเดียวก็ประมาทไม่ได้ ขณะนี้เป็นธรรม ฟังอย่างนี้อีกยี่สิบปี อีกร้อยปี ก็หลงลืม ไปเป็นเรื่องของธรรมที่อยู่ในข้อความที่เราได้ฟัง ข้อความที่เราได้อ่าน แต่ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ถูกปกปิดไว้ จนกว่าคำของพระองค์จะทำให้รู้ว่า ทั้งหมดเป็นธรรมจริงๆ คิดเรื่องพระภิกษุเมื่อสักครู่นี้ ก็เป็นธรรม คิดเรื่องอื่นก็เป็นธรรม ทุกอย่างก็เป็นธรรม แต่ก็ไม่ปรากฎว่าเป็นธรรม ยังคงเป็นเรา
เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังพระธรรมด้วยความไม่ประมาทจริงๆ ว่า จุดประสงค์ทั้งหมด ก็คือเพื่อให้รู้ความจริงซึ่งกำลังปรากฎจากคำที่พระองค์ได้ตรัสถึงลักษณะความจริงของสภาพธรรมให้มีความเข้าใจในความเป็นธรรมนั้นๆ เพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้น ประมาทใช่ไหม จนกว่าจะไม่ลืมว่าทั้งหมดที่ฟัง เพื่อเข้าใจเดี๋ยวนี้ ที่กำลังปรากฎ มิฉะนั้นแล้ว จะเข้าใจได้อย่างไร ฟังมาตั้งนานก็เป็นพระภิกษุในอนาคตอย่างนั้นอย่างนี้ ใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้ เห็นอย่างนี้ เป็นธรรมแล้ว แล้วพระภิกษุอย่างนั้น จะเข้าใจไหม ใช่ไหม แต่ก็ไม่ใช่คิดถึงว่า คนโน้นจะเข้าใจไหม คนนี้จะเข้าใจไหม แต่ตรงนี้เองปรากฎกับใคร เข้าใจหรือเปล่าว่าเป็นเพียงลักษณะของสภาพธรรม เพียงคำเดียว ต้องอาศัยความมั่นคงที่จะไตร่ตรอง เพราะเหตุว่า ไม่คุ้นเคยกับการที่จะเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา แต่คุ้นเคยกับเป็นเรามาตลอดในสังสารวัฎ
เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้รู้ความจริงว่า ไม่มีเรา สิ่งที่มี มีแต่ไม่ใช่เรา แล้วมีอย่างไร แค่เกิดขึ้นปรากฎดับแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น มากมายมหาศาลเท่าไหร่ ที่จะเริ่มรู้ว่า ฟังไป ก็เป็นเรื่องเข้าใจคำ เข้าใจเรื่อง แล้วเดี๋ยวนี้หล่ะ เริ่มเข้าใจหรือยัง ในความเป็นธรรมของแต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีทางไปเร่งรัดว่ายังไง แต่ว่า แต่ละคำที่ได้ฟังมา ค่อยๆ ปรุงแต่ง จนกระทั่งรู้ว่าจริงๆ ตรัสอย่างนั้นเพื่อใคร พระภิกษุที่ประพฤติอย่างนั้น อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า แต่คนฟัง กำลังฟังเรื่องนั้น ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ขณะนั้น จิตที่ฟังเป็นอย่างไร สำคัญไหมที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา ต้องทั่วหมด แล้วก็ต้องเป็นปกติด้วย เพราะเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เลือกได้ไหม จะรู้เมื่อนั่นเมื่อนี่ จะรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้จะคิดเรื่องพระภิกษุที่ได้ฟังอย่างไร เลือกไม่ได้เลย เพราะเป็นธรรม กว่าจะมั่นคงในความเป็นธรรม ต้องอาศัยความเป็นปกติแล้วก็รู้ว่าความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจถูกต้องในความเป็นจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปิดเผยให้รู้ว่า ไม่มีเรา แค่นี้ก็จะต้องมีความมั่นคงที่จะฟังด้วยความเข้าใจว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ฟังไปก็เพื่อให้รู้ว่า ทุกอย่างมี เมื่อเกิดขึ้น บังคับให้เกิดไม่ได้ บังคับไม่ให้เกิดไม่ได้ เกิดแล้วดับแล้วด้วย
เพราะฉะนั้น ก็ฟังไปอีกนานเท่าไหร่ก็เป็นคำจริง ซึ่งกว่าจะค่อยๆ น้อมมา โดยการที่ไม่ใช่เราจริงๆ ที่เข้าใจ แต่ละคำ ขณะนั้นก็คือว่า เป็นสังขารขันธ์ เพราะได้พิจารณาไตร่ตรอง ไม่ใช่เราเลยแม้ขณะนั้น ต้องมั่นคงว่าเป็นอะไรไม่ใช่เรา ก็เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดดับแล้วก็เป็นขันธ์ต่างๆ ด้วย แล้วก็ทั้งห้าขันธ์ขณะนี้ ก็ไม่ได้เปิดเผยด้วย แต่เราก็พูดบ่อยๆ ไม่มีใครไม่รู้จักขันธ์ห้า ใช่ไหม คล่องปาก แต่เดี๋ยวนี้ สักขันธ์หนึ่งไหมที่ปรากฎว่าไม่ใช่เรา ก็เป็นเรื่องของธรรม ต้องเข้าใจมั่นคงว่าธรรมเป็นธรรมไม่ใช่เรา และความเข้าใจก็มีได้ ไม่ใช่ไม่มี ไม่สามารถจะมีได้ แต่ในขั้นแรกก็คือ ฟัง เข้าใจสิ่งที่กำลังมี จบแล้ว หมดแล้ว เป็นไม่เข้าใจแล้ว ก็เป็นธรรมดา ไม่เข้าใจก็เกิดแล้วก็ดับแล้ว
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็คือว่าเป็นธรรมจริงๆ แต่ซ่อนเร้นด้วยการที่เคยเป็นเรา นานแสนนาน แล้วอยู่ที่ไหน อยู่ในจิต ใครจะไปเอาออกได้ ใช่ไหม นอกจากปัญญาที่ได้เกิดจากการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วความเข้าใจซึ่งเป็นสังขารขันธ์พร้อมเจตสิกอื่นๆ ก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เวลานี้ เจตสิกเท่าไหร่ เกิดกับจิตประเภทไหน มีฉันทะ มีอะไรต่ออะไรทุกอย่างเป็นไปตามธรรม ก็คล่องปากเพราะชินหูใช่ไหม แต่ความลึกซึ้งต้องมากกว่านั้น ค่อยๆ มั่นคงขึ้น แล้วจะปฏิบัติหรือไม่ สำนักปฏิบัติ ถ้าไม่เข้าใจก็คือว่า พระศาสนาก็อันตรธาน เพราะจะดำรงอยู่ได้เพราะความเข้าใจเท่านั้น