จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองได้ไหม
จิตเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ว่ารู้ยาก ถึงแม้ว่าจะได้ฟังชื่อต่างๆ โสภณ อโสภณ กุศลวิบาก อกุศลวิบากก็ตามแต่ แต่ให้เข้าใจว่า ทุกคนที่เกิดมาเพราะจิตเกิด เมื่อมีปฏิสนธิจิต คือ จิตขณะแรกซึ่งเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เมื่อเริ่มปฏิสนธิที่จะหยุด ไม่ให้มีอะไรเกิดต่ออีกเลย เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นชีวิตของแต่ละคนก็จะแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ปฏิสนธิกาล ขณะที่เกิด และปวัตติกาล คือ เมื่อเกิดแล้วต้องเป็นไป ยับยั้งไม่ได้เลย เป็นไปเรื่อยๆ เพราะว่ามีเหตุปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมเกิดสืบต่อ จนกว่าจะถึงจุติขณะสุดท้ายเกิดขึ้น ดับไป หมดสภาพความเป็นบุคคลนี้ แต่ปัจจัยยังไม่ได้ดับ เพราะฉะนั้นก็ทำให้มีปฏิสนธิจิตเกิดต่อ ซึ่งเราก็เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ด้วยความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ก็ยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเรา
เพราะฉะนั้นโอกาส กาลที่จะได้ฟังพระธรรม ก็จะทำให้มีความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งมีจริงทุกขณะ เพราะเหตุว่าเมื่อเกิดมาแล้ว ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว จิตทุกประเภท นอกจากจุติจิตของพระอรหันต์ จะเป็นอนันตรปัจจัยทำให้จิตต่อไปเกิด ไม่มีใครยับยั้งได้เลย
ขณะนี้เป็นปฏิสนธิกาลหรือเป็นปวัตติกาลคะ ปวัตติกาลไปเรื่อยๆ เพราะเหตุว่าปฏิสนธิกาลมีขณะเดียว เมื่อเกิดแล้วก็ยับยั้งไม่ได้เลย สืบต่อไป แล้วแต่ว่าจะเป็นจิตประเภทไหน ซึ่งก่อนฟังพระธรรม ไม่เคยรู้เลย แท้ที่จริงแล้ว สังสารวัฏฏ์มีกิเลสแน่นอน เกิดมาแล้ว มีใครไม่มีกิเลสบ้างไหมคะ ใช้คำว่า “กิเลส” แต่ก็หมายความถึงสภาพธรรมที่ไม่ดีงาม แต่อาจจะหลงเข้าใจผิดคิดว่าดีก็ได้
เพราะฉะนั้นกิเลสที่ใหญ่ หรือเป็นเหตุให้กิเลสทั้งหลายเจริญขึ้นไม่รู้จบ ก็คือ โลภะ โทสะ โมหะ ถ้าเป็นฝ่ายดีก็ตรงกันข้าม แต่ทุกคนที่เกิดมาแล้วมีโลภะ มีโทสะ มีโมหะ โดยไม่รู้เลยว่า ขณะไหนเป็นโลภะ ขณะไหนเป็นโทสะ ขณะไหนเป็นโมหะ หรืออาจจะรู้บ้าง ก็เพียงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้รู้ชัดตามความเป็นจริงในลักษณะของสภาพธรรมนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงต้องศึกษา เพื่อที่จะให้รู้ว่า ชีวิตที่เราคิดว่า มีความสำคัญมาก เป็นเรา เป็นเขา เป็นเรื่องต่างๆ ความจริงก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งใครก็ยับยั้งไม่ได้ หรือจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าไม่มีตัวตนที่จะมีอำนาจที่จะทำให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้น เป็นไปอย่างที่ต้องการ หรือว่าไม่ให้เป็นไปอย่างที่เป็นแล้วตามเหตุตามปัจจัย ก็ไม่ได้
ที่มา ...