ฟังเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่เกิดกับตน


    ด้วยเหตุนี้แม้ขณะนี้ เราศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงให้มีความเข้าใจมั่นคงขึ้น จากการฟังแล้วฟังอีกว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่มีจริง เป็นจิตเกิดดับ แล้วก็เป็นประเภทต่างๆ แต่ที่จะให้รู้ว่า ขณะนี้เป็นวิบาก หรือว่าเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล เพียงฟังนี่เข้าใจ แต่เวลาที่สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นจริงๆ รู้ไหม ไม่รู้

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ระดับของความรู้ต้องมีต่างกัน ปัญญาขั้นฟังเริ่มรู้เรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ว่าลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งต้องต่างกันด้วย ก็ยังไม่ประจักษ์ เพราะขณะนี้แม้เห็นมี ถ้าไม่ได้ศึกษา จะทราบไหมคะว่า เห็นขณะนี้เป็นผลของกรรม เกิดมาแล้วต้องเป็นไปตามเหตุ คือ บางขณะเป็นผลของกรรม บางขณะเป็นกิเลส เป็นกุศล บางขณะก็เป็นอกุศล

    นี่ก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ เวลาฟังธรรม ฟังเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่เกิดกับตนเองในขณะนี้ แต่จะเข้าใจได้มากน้อยขณะไหน ก็ต้องแล้วแต่ เช่น ขณะนี้ เห็น เป็นจิต มีจริงๆ โดยชาติเป็นอะไรคะ จะมี ๔ ชาติ เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล หรือเป็นวิบาก หรือเป็นกิริยา

    เพราะฉะนั้นจิตเห็นในขณะนี้เป็นอะไรคะ เป็นวิบาก ตอบได้ แน่นอน แต่วันหนึ่งๆ วิบากจิตเกิดนับไม่ถ้วนเลย ทางตาเห็นเป็นวิบากแล้ว ทางหูได้ยินก็เป็นวิบากแล้ว ทางจมูกได้กลิ่นก็เป็นวิบาก ทางลิ้นลิ้มรสก็เป็นวิบาก ทางกายกระทบสัมผัสก็เป็นวิบาก

    เพราะฉะนั้นจะรู้วิบากได้ไหม ในเมื่อมีอยู่ตลอดเวลา ย่อมได้ แต่ต้องแล้วแต่ว่า ปัญญาถึงระดับไหน เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ขั้นฟังเรื่องก็ตอบได้ แต่ที่จะรู้ลักษณะของวิบากว่าเป็นวิบาก ซึ่งต่างจากกุศล และอกุศล เพียงขั้นฟังแล้วรู้ ไม่สามารถจะเข้าใจได้ แต่ว่าการฟังอย่างละเอียด ทำให้เข้าใจละเอียดขึ้น ย่อมน้อมไปสู่การที่จะรู้ว่า จิตไม่ใช่เราแน่นอน เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 257


    หมายเลข 11976
    28 ส.ค. 2567