ใครจะทำให้ใครได้ นอกจากตัวเอง


    จะรู้วิบากได้ไหม ในเมื่อมีอยู่ตลอดเวลา ย่อมได้ แต่ต้องแล้วแต่ว่า ปัญญาถึงระดับไหน เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ขั้นฟังเรื่องก็ตอบได้ แต่ที่จะรู้ลักษณะของวิบากว่าเป็นวิบาก ซึ่งต่างจากกุศล และอกุศล เพียงขั้นฟังแล้วรู้ ไม่สามารถจะเข้าใจได้ แต่ว่าการฟังอย่างละเอียด ทำให้เข้าใจละเอียดขึ้น ย่อมน้อมไปสู่การที่จะรู้ว่า จิตไม่ใช่เราแน่นอน เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน เช่นตามข้อความที่แสดงว่า เมื่อ วิบากจิตเกิดขึ้นเห็น หลังจากนั้นแล้วก็เป็นกุศลหรืออกุศล

    นี่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย แต่ตามความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น รวดเร็วอย่างนั้น วิบากจิตไม่ได้มีมากมายหรือยั่งยืนยาวนานเลย ชั่วขณะสั้นเหมือนฟ้าแลบ ทุกอย่างเป็นอย่างนั้น เพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป และที่จะปรากฏได้ก็ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้าตาไม่มี จักขุปสาทไม่เกิด สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏไม่ได้ แต่โสตปสาทไม่มี โสตปสาทไม่เกิด เสียงก็ปรากฏไม่ได้

    นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาจนบางคนก็ไม่สนใจที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นที่เราฟังทั้งหมด แม้แต่ว่าขณะเห็นเป็นวิบาก เป็นผลของกรรม ก็ยังรู้ความละเอียดต่อไปอีก มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร เพราะเหตุว่าต้องต่างกันระหว่างจิตที่เป็นวิบากกับจิตที่เป็นกุศล และอกุศล เพราะเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยต่างกัน

    ด้วยเหตุนี้ถ้าศึกษาก็จะทราบว่า ในขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้เอง มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท มี ผัสสเจตสิก เวทนาเจตสิก สัญญาเจตสิก เจตนาเจตสิก เอกัคคตาเจตสิก มนสิการเจตสิก ชีวิตินทรียเจตสิก ก็ยังไม่ต้องจำเลย เพียงฟัง ฟังบ่อยๆ จะจำได้ครบไม่ครบก็ไม่เป็นไร เพราะเหตุว่าไม่ใช่ฟังเพื่อจะจำ แต่เพื่อจะเข้าใจความจริงว่า แม้เห็นก็ยังมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย และเห็นเป็นผลของกรรมแน่นอน เพราะฉะนั้นเห็นจึงเป็นวิบากจิต แต่ว่าเมื่อกรรมมี ๒ อย่าง คือ กุศลกรรม และอกุศลกรรม วิบากก็ต้องต่างเป็น ๒ ด้วย คือ กุศลวิบาก และอกุศลวิบาก

    จิตเห็น บางครั้งเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ อย่างนี้พอตอบได้ใช่ไหมคะ เวลาเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร ไม่น่าพอใจ สิ่งนั้นไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นจิตขณะนั้นเป็นอะไรคะ เป็นอกุศลวิบาก เป็นผลของอะไร เป็นผลของอกุศลกรรม ใครทำ เราเอง ไม่ใช่มีคนอื่นทำมาให้เลย ต้องเป็นผู้ที่มั่นคง เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นผลของกรรมหรือเปล่า ผลของกรรม คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ๕ ทาง แม้แต่จักขุปสาท ก็เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย เกิดมาเพื่อเป็นปัจจัยให้จิตเห็นซึ่งเป็นวิบากเกิดขึ้น แล้วแต่กรรมว่าเห็นอะไร เห็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี

    สำหรับจิตที่เป็นจิตเห็น สั้นมาก เล็กน้อยมาก มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ดวง เพราะฉะนั้นไม่มีโลภเจตสิกเกิดกับจิตเห็น ไม่มีโทสเจตสิกเกิดกับจิตเห็น แล้วมีโมหเจตสิกเกิดกับจิตเห็นไหมคะ ไม่มี คือ ต้องทราบแน่ว่า ๗ เท่านั้น เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง จะไม่เพิ่มเติมเจตสิกอื่นเข้ามาเลย เพียงแค่ ๗ เวลาได้ยิน ก็เช่นเดียวกัน เวลาได้กลิ่นก็เช่นเดียวกัน

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นความต่างของจิตในวันหนึ่งๆ ซึ่งลืมเสมอว่าเป็นผลของกรรม อาจจะคิดว่า คนนั้นคนนี้ทำให้ แต่ใครจะทำให้ใครได้ นอกจากตัวเอง

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การฟังธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิบากจิต เป็นจิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ หรือวิบากจิตที่ประกอบด้วยเหตุ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เรารู้ได้โดยการประจักษ์แจ้ง แต่ค่อยๆ เข้าใจจากขั้นการฟังก่อน ถ้าไม่มีความเข้าใจขั้นการฟัง เลิกคิดที่จะไปรู้ความจริงใดๆ ของสภาพธรรม เพราะว่ารู้ไม่ได้เลย ไม่มีความเข้าใจในเบื้องต้น แล้วจะไปรู้ได้อย่างไร

    ด้วยเหตุนี้การฟังธรรม ต้องเป็นผู้มีเหตุผล พิจารณาไตร่ตรอง แล้วก็มีความเข้าใจที่มั่นคง เพราะว่าสภาพธรรมเปลี่ยนไม่ได้ ใครจะไปเปลี่ยนกุศลจิตให้เป็นอกุศลจิตไม่ได้ ใครจะไปเปลี่ยนวิบากจิตให้เป็นกุศลจิตก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นธรรมเกิดขึ้น เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่สามารถฟัง และเข้าใจความจริงของสภาพธรรมนั้น จนกระทั่งปัญญาเจริญขึ้น มิฉะนั้นก็จะเจริญแต่ทางโลก มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ไม่เจริญทางธรรมเลย


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 258


    หมายเลข 11977
    28 ส.ค. 2567