อนัตตา-ให้ละอกุศล


    ผู้ฟัง ฟังธรรมท่านอาจารย์แล้ว มันจะขัดแย้งกันระหว่างเป็นอนัตตา กับให้ละอกุศล ก่อนที่จะฟัง เราก็จะติดในรส ในเสื้อผ้า เป็นความติดข้อง แล้วก็คิดว่า ถ้าเรายังชอบรับประทานอร่อยเหมือนเดิม และชอบเสื้อผ้าสวยๆ เหมือนเดิม ก็มีความรู้สึกว่า ฟังธรรมแล้วไม่ละ ในขณะเดียวกัน ถ้าเราอยากได้ เราไปซื้อ เราก็บอกว่า เป็นอนัตตา ก็เหมือนกับว่า เมื่อเราฟังธรรมแล้วจะต่อสู้กันอยู่อย่างนี้

    สุ. ค่ะ เราจัดการ

    ผู้ฟัง เป็นผู้จัดการโลก

    สุ. ไม่ได้เข้าใจว่า ขณะนั้นเป็นธรรม แม้คิดก็เป็นธรรม แม้จะใส่น้ำปลา น้ำตาล หรือไม่ใส่ ก็เป็นธรรม ใครบังคับบัญชาได้ แต่ละขณะ แต่ความเป็นเราก็เข้าไปจัดการ

    ผู้ฟัง แสดงว่าเราไม่มั่นคงในอนัตตา

    สุ. ไม่ได้เข้าใจว่า สภาพธรรมเกิดเป็นอย่างไร ก็คือขณะนั้นเป็นอย่างนั้น ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล ที่จะไม่ให้ติดในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นไปไม่ได้ค่ะ เพียงแต่ว่า ขณะนั้นมีปัจจัยที่จะเกิด มีปัจจัยที่จะคิดหลากหลาย แต่ขณะนั้นก็ต้องรู้ว่า เป็นธรรม ถ้าเป็นเราจะจัดการ ก็ยังคงเป็นเราเรื่อยไป ตลอดไป

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นก็คือ เราจะละอย่างไร

    สุ. ต้องรู้ว่า ขั้นการฟังเข้าใจ ไม่สามารถจะละดับกิเลสได้เลย ต้องเป็นการรู้ลักษณะ เข้าใจลักษณะ และลักษณะนั้นเป็นธรรม ซึ่งไม่เป็นใครเลย อย่างแข็ง ปรากฏได้ทางกาย มีลักษณะที่เป็นของใคร หรือว่าแข็งต้องเป็นแข็ง ปรากฏเมื่อไร ก็คือเป็นลักษณะนั้น และความจริงแข็งก็เกิดดับด้วย แต่พออยากจะจัดการกับแข็ง เหมือนกับอยากจะจัดการกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ก็ปิดบัง ไม่สามารถจะประจักษ์การเกิดดับได้ เพราะมัวไปจัดการ เป็นเราในขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นเรา

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็ให้รู้ และเข้าใจ

    สุ. แน่นอนที่สุดค่ะ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม พอฟังแล้วเป็นเรื่องอื่น วันนั้นเราไปที่นั่น แล้วจิตเป็นอย่างนั้นได้ไหม เป็นธรรมหรือเปล่า นั่นคือไม่เข้าใจธรรม กำลังเป็นตัวเราที่อยากจะรู้เรื่องนั้น อยากรู้ชื่อนั้นว่า ขณะนั้นเป็นอะไร เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ต้องการเพียงรู้ชื่อ แต่รู้จริงๆ ขณะนั้นที่กำลังพูดเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 268


    หมายเลข 12041
    27 ส.ค. 2567