เหมือนฟ้าแลบ


    นั้นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังที่สะสมมาแต่ละชาติ เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ เช่น เป็นเรื่องธาตุ เป็นเรื่องขันธ์ เป็นเรื่องอายตนะ ตลอดต่อไปจนกระทั่งถึงปัจจัยหรือ ปฏิจจสมุปปาท ทั้งหมดก็จะเป็นเพราะกำลังเข้าใจลักษณะจริงๆ ด้วยปัญญาที่ได้อบรมจนสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงได้ เพราะว่าความจริงขณะนี้ต้องมีขณะที่เสียงไม่ได้ปรากฏแน่นอนก่อนเสียงปรากฏ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังที่ได้สะสมมาแต่ละชาติ เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ เช่น เป็นเรื่องธาตุ เป็นเรื่องขันธ์ เป็นเรื่องอายตนะ ตลอดไปจนกระทั่งถึงปัจจัย หรือปฏิจจสมุปปาททั้งหมด ก็เป็นเพราะกำลังเข้าใจลักษณะจริงๆ ด้วยปัญญาที่ได้อบรม จนสามารถที่จะ ประจักษ์แจ้งความจริงได้ เพราะว่าความจริงขณะนี้ต้องเป็นขณะที่เสียงไม่ได้ปรากฏแน่นอน ก่อนเสียงปรากฏ แต่ว่าปัญญายังไม่ถึงที่สามารถรู้อย่างนั้น เพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วมาก แต่จากการฟังจะรู้ได้ว่า สภาพธรรมที่จริงแล้วสั้นมากเหมือนกับอยู่ในความมืดสนิท เพราะว่านามธรรมไม่มีสีสันใดๆ เลยทั้งสิ้น และขณะนั้นถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏเหมือนฟ้าแลบ ซึ่งข้อความนี้มีในพระไตรปิฎก เพราะเหตุว่าเป็นความจริงอย่างนั้น และสิ่งที่ปรากฏที่เหมือนฟ้าแลบ ก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะ แล้วแต่ว่าจะปรากฏทางไหน

    เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับปัญญาขณะนั้นเจริญจนกระทั่งสามารถแทงตลอดด้วยความละคลายการเป็นตัวเรา หรือความเป็นตัวตน และสภาพธรรมก็ปรากฏตามความเป็นจริงอย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงขณะที่สภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริงกับสติ และปัญญา ซึ่งบุคคลนั้นรู้แน่นอน ขณะนั้นที่จะไม่รู้สภาพที่เป็นสติสัมปชัญญะที่ประกอบด้วยปัญญาไม่ได้เลย เพราะว่าสติเกิดขึ้นทำหน้าที่ของสติ และปัญญาขณะนั้นก็ไม่มีความเป็นเรา เพราะว่าธาตุทั้งหลายปรากฏตามความเป็นจริงแต่ละลักษณะ ไม่ใช่ลักษณะเดียวกัน เพราะฉะนั้นเมื่อสภาพธรรมนั้นเกิดแล้วดับไป และสภาพธรรมอื่นเกิดต่อแล้วก็ดับไป ความหมายของคำว่า “ขันธ์” ก็แจ่มแจ้งได้ว่า สิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดแล้วดับไป ก็เป็นชั่วขณะที่สั้นมาก และแต่ละขณะที่เกิดดับ และไม่กลับมาอีกเลย ก็เป็นลักษณะของขันธ์แต่ละลักษณะ โดยความเป็นธาตุ โดยความเป็นขันธ์ โดยความเป็นอายตนะ จากไม่มี แล้วมี คิดดูซิคะ ขณะนี้ฟังดูเหมือนธรรมดา ไม่มีแล้วเสียงปรากฏ นี่คือไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่ขณะที่ไม่มีอะไรเลย ต้องไม่มีอะไรเลยด้วย แล้วเสียงก็เกิดขึ้นปรากฏ คนนั้นจะมีปัญญาที่เห็นความเกิดขึ้น และรู้ความเป็นอายตนะ แต่ว่าไม่ใช่โดยชื่อ และไม่ใช่กล่าวเป็นชื่อ และไม่ได้ไปนึกถึงชื่อด้วย เพราะเหตุว่าขณะนี้ที่สภาพธรรมอย่างหนึ่ง เช่น จิต เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่เห็นหมดสักที แต่ไม่รู้ในการเกิดดับของจิต ไม่รู้ในความเป็นอนันตรปัจจัย แต่ถ้าโดยการฟังไม่สงสัยเลย จากขณะหนึ่งสู่ขณะหนึ่ง จะรู้หรือไม่รู้ ก็คือไม่เคยขาดจิตตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นรู้จักอนันตรปัจจัยโดยชื่อ แต่ถ้าเป็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏสืบต่อ ความเข้าใจก็ชัดเจนขึ้น เพราะว่ามีลักษณะของสภาพธรรมนั้นปรากฏเป็นจริงอย่างนั้น

    ด้วยเหตุนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ยินได้ฟัง มีความเข้าใจขึ้นอย่างมั่นคง และเมื่อปัญญาสามารถแทงตลอดตรง ไม่ได้ผิดจากความเป็นจริงเลย แม้ขณะนี้ก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่ปัญญายังไม่ถึงขั้นที่จะละความเป็นเรา ไม่มีการรู้ถึงขั้นว่า ขณะนี้สภาพธรรมเกิดแล้วดับ และจากไม่มีแล้วก็มี ก็เป็นลักษณะของธาตุ และเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา จนกว่าจะสามารถประจักษ์ลักษณะของอริยสัจ ๔ เมื่อไร ก็หมดความเป็นเราเป็นสมุจเฉท ไม่เกิดอีกเลย

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมเป็นปกติจริงๆ แต่ปัญญาจะค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในลักษณะที่ต่างกันแต่ละทางก่อน ขั้นเข้าใจก็ต้องเป็นอย่างนั้นด้วย


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 269


    หมายเลข 12048
    27 ส.ค. 2567