ภิกษุขับรถได้หรือไม่ ตอนที่ 1


    ภิกษุขับรถได้หรือไม่

    สทนาพิเศษ เรื่อง ภิกษุยุคนี้กับพระธรรมวินัย

    ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๔

    ตอนที่ ๑


    อ.ธนากร สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการบ้านธัมมะ โดย มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไม่ทราบว่าท่านผู้ชมเคยสงสัยไหม ว่าพระภิกษุขับรถได้หรือไม่ บางท่านบอกว่าได้ เพราะว่าไม่ได้มีพระพุทธบัญญัติตรงๆ ว่าห้ามขับรถ แต่บางท่านก็กล่าวว่าไม่ได้ เพราะว่าไม่เหมาะแก่สมณสารูป แต่ว่าก่อนอื่นอยากให้ทราบความหมายของคำว่า ภิกษุ ว่าคือใคร บวชเพื่ออะไร และที่สำคัญที่สุด พระธรรมวินัยได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างไร ไปติดตามชมเนื้อหาบางช่วง จากการสนทนาพิเศษ เรื่องภิกษุยุคนี้กับพระธรรมวินัยครับ

    คุณทวีศักดิ์ ท่านอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนา ในหัวข้อเรา เราก็มีระบุไว้ว่า ภิกษุกับพระธรรมวินัย ฉะนั้นอยากจะขอให้ท่านอาจารย์ ได้เริ่มต้นกับคำว่า ภิกษุ ซึ่งเป็นผู้ครองตนอยู่ในเพศบรรพชิต มีความแตกต่างจากคฤหัสถ์ หรือว่าอุบาสก อุบาสิกา ซึ่งเป็นผู้ครองเรือนอย่างไร แล้วก็จะได้ต่อท้ายตามมาด้วย เรื่องของพระธรรมวินัย พระธรรมวินัย ซึ่งเป็นศาสดาสืบแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีความสำคัญอย่างไร และภิกษุทำไมถึงต้องเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย ขอกราบเรียนเชิญครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าชาวพุทธ รู้จักภิกษุหรือเปล่า เพียงแต่เห็นผู้ที่ครองจีวร และถือบาตร แล้วเดินบิณฑบาต นั่นเป็นภิกษุหรือเปล่า เพราะฉะนั้นชาวพุทธเข้าใจเพียงเท่านั้นเอง ใช่ไหม ว่านี่คือพระภิกษุ แต่ต้องไม่ลืม พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะได้ตรัสรู้ และทรงแสดงพระธรรม และเมื่อได้ฟังธรรมแล้ว ก็มีผู้ที่สะสมมา ที่จะสามารถสละชีวิตของคฤหัสถ์ เพราะเห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต จึงสามารถที่จะละอาคารบ้านเรือน ละกิจของคฤหัสถ์ทั้งหมด บรรพชา เว้นทั่วทุกอย่างที่เป็นกิจของคฤหัสถ์ เพื่อที่จะศึกษาพระธรรม เพื่อขัดเกลากิเลส เพราะเห็นว่าพระธรรมลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ ต้องอาศัยการไตร่ตรอง แม้แต่เพียงคำว่าภิกษุ ไม่ใช่ว่าเพียงแค่เห็นเดินมาถือบาตร แล้วบอกว่าเป็นภิกษุ นั่นไม่มีเหตุผลอะไรเลย

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง จึงสามารถที่จะเข้าถึงพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าทรงตรัสรู้สิ่งที่ยาก ลึกซึ้ง ไม่ใช่สามารถที่จะแค่ฟังแล้วก็รู้ได้ แต่ว่าต้องอาศัยการพิจารณา ไตร่ตรอง เป็นผู้ละเอียด จึงสามารถที่จะเริ่มเห็นพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นอะไรทำให้บุคคลหนึ่ง เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ใช่ปัญญา ที่สามารถที่จะมีคุณ คือ ปัญญาที่เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น เห็นไหม แค่แต่ละคำเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ก็หมายความว่าผู้ฟังเริ่มรู้ว่า ไม่มีปัญญา และปัญญาของพระองค์เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ทุกโลก ไม่ว่าโลกมนุษย์หรือว่าเทวโลก หรือว่าจักรวาลทั้งหมด ไม่มีใครเทียบได้เลย ต้องเห็นคุณอย่างนี้ แล้วก็รู้ว่าผู้ที่เรานับถือจริงๆ ต้องมีคุณถึงอย่างนี้ ไม่มีใครเปรียบได้

    เพราะฉะนั้นพระภิกษุ คือ ใคร คือ ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรม แต่สามารถที่จะเห็นโทษของการที่จะครองเรือน ว่าได้ครองเรือนมาแล้วในสังสารวัฏฏ์แสนโกฏกัปป์ก็เป็นอย่างนี้ เมื่อวานนี้ก็เห็น ได้ยิน สุข ทุกข์ ทำงานทุกอย่างหมด แล้วเมื่อวานนี้ไปไหนหมด มาเป็นวันนี้ แล้วคนเมื่อวานนี้ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไปไหน คนนี้แหละที่เดี๋ยวนี้นั่งตรงนี้ เมื่อวานนี้ก็นั่งตรงนี้ แต่ว่าคนที่นั่งตรงนี้ เมื่อวานไปไหน ยังอยู่ไหม เพราะว่าขณะนี้เป็นคนนี้ ที่กำลังอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่คนเมื่อวานนี้ ใช่ไหม หรือจะว่าเป็นคนเดียวกัน นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่งของผู้ที่ได้ตรัสรู้

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ฟังธรรมเข้าใจแล้ว นับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ผู้ได้รู้ความจริง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง หมดกิเลส ดับกิเลส ตามระดับขั้น จึงเป็นพระรัตนตรัย เพราะฉะนั้นชาวพุทธทุกคนรู้จักพระรัตนตรัยเพียงชื่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ถ้าถามว่ารู้จักพระพุทธเจ้า ก็ควรที่จะแสดงคุณของพระองค์ จะแสดงคุณของพระองค์ได้ไหม ถามใครก็ตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระคุณอย่างไร แสดงได้ไหม ถ้าไม่ได้ศึกษาโดยละเอียด พระคุณที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่สามารถที่จะเข้าถึงได้ แต่กล่าวว่าเป็นชาวพุทธ

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นชาวพุทธหมายความว่า เห็นคุณอย่างยิ่ง ที่จะได้ฟังคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ แล้วทรงแสดงให้คนอื่น ได้มีความเข้าใจถูกต้องด้วย เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่เห็นความละเอียดอย่างยิ่ง มีความอดทนที่จะรู้ว่าธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ลึกซึ้ง ทุกคำจริงเปลี่ยนไม่ได้ แต่ว่ายากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นบุคคลที่จะเป็นพระภิกษุ ต้องมีปัญญาระดับนี้ และก็สามารถจะเป็นคนที่ตรง ที่สามารถจะสละทุกอย่างลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในเพศของคฤหัสถ์ สู่เพศที่ละสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด เสื้อผ้าอาภรณ์เคยมี อาจจะเต็มตู้เลยมากมาย แต่ก็สละ ละหมด เหลือเพียงจีวร ๓ ผืน ในการที่จะมีชีวิตต่อไป จนกว่าจะจากโลกนี้ไป ๓ ผืนเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นจะเหมือนคฤหัสถ์ไหม ไม่ว่าจะเรื่องอาหาร ก็บริโภคเพียงแค่ภายในเที่ยง ขัดเกลากิเลส เพราะรู้ว่าบริโภคเพื่อมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะได้ศึกษาพระธรรม และก่อนที่จะได้เป็นพระภิกษุ บริโภคด้วยความอร่อย ด้วยความพอใจ ด้วยความต้องการ แต่เมื่อเป็นภิกษุแล้วเห็นโทษ ว่าชีวิตที่ยังเหลืออยู่ ไม่ใช่เพื่อไปติดในความอร่อย ในลาภ ในยศ ในเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างๆ แต่เพื่อที่จะได้เข้าใจความจริง ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นจริง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ต้องไปแสวงหาเลย

    เพราะฉะนั้นทุกคำต้องละเอียดมาก เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ใครเลย เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง หรือจะใช้คำว่า เป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริง หลากหลายมากแต่ละหนึ่ง เดี๋ยวนี่ก็ปรากฏว่าหลากหลายมากแต่ละหนึ่ง แต่ไม่มีความเข้าใจถูกต้องว่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้น มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นเราเมื่อสักครู่นี้อยู่ไหน เห็น เป็นเราเห็น พอเห็นนั้นไม่มี เราก็ต้องไม่มีด้วย ขณะได้ยินเป็นเราได้ยิน พอไม่มีได้ยิน เราได้ยินก็ต้องไม่มีด้วย เพราะฉะนั้นจะมีเราแต่ไหน อะไรจะเป็นเราได้

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องละเอียด จึงจะเข้าใจความหมายของผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จนถึงสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต เพื่อศึกษาพระธรรม เป็นคนของพระธรรม ไม่กล่าวคำอื่นเลย นอกจากจะเป็นพุทธมามกะ ยังเป็นธรรมมามกะ กล่าวแต่คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจ เพราะว่าผู้อื่นซึ่งเป็นคฤหัสถ์ สามารถที่จะฟังธรรมเข้าใจได้ แต่ว่าไม่ได้สละชีวิตขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประพฤติตามพระบิดา เพราะเหตุว่าเป็นผู้ให้กำเนิด ภิกษุที่จะขัดเกลากิเลส ตามที่พระองค์ได้เสด็จดำเนินไป ในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้นต้องรู้จริงๆ ภิกษุไม่ได้ทำกิจของคฤหัสถ์ ไม่ได้มีทุกอย่าง อย่างคฤหัสถ์ สละหมด รถยนต์มีไหม จักรยานยนต์มีไหม ถ้าไม่มีรถยนต์ อะไรๆ ทั้งหมดที่คฤหัสถ์มี พระภิกษุมีไหม มีได้อย่างไร มีทำไม ในเมื่อสละแล้ว ละแล้ว

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็เริ่มรู้ว่า ภิกษุคือใคร และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ตรัสรู้การขัดเกลากิเลสให้หมดจดอย่างยิ่ง ต้องอาศัยความมั่นคง ที่จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เห็นภัยของกิเลสแม้เพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงบัญญัติว่า กาย วาจาอย่างไร ความเห็นอย่างไร เป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นพระวินัยทั้งหมด มีพระองค์เดียวเท่านั้น ที่ทรงบัญญัติ สาวกทั้งหมดแม้ท่านพระสารีบุตรก็บัญญัติไม่ได้ เพราะว่าโทษแม้เพียงเล็กน้อย ถ้าไม่เห็น ก็เป็นโทษใหญ่ในภายหน้า

    เพราะฉะนั้นต้องรู้จริงๆ พระภิกษุไม่ได้เป็นอย่างคฤหัสถ์เลย ทุกประการไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตประจำวันทั้งหมด เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส โดยต้องศึกษาพระธรรม ด้วยความละเอียด ขัดเกลากิเลส โดยเมื่อเข้าใจแล้ว ก็เป็นปัจจัย ขัดเกลาจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริง ที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เป็นผู้ที่มั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่ใช่อย่างที่เราเห็น เดินบิณฑบาต เปิดบาตรแล้ว มีเงิน นั่นไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย ขัดเกลาอะไร รับได้อย่างไรเงินทอง เอาไปทำอะไร เงินทองสำหรับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่คฤหัสถ์ทั้งหลายพอใจ แสวงหา แต่นี่สละหมด ไม่ต้องการเสื้อผ้าจะเอาเงินไปทำไม ไม่ต้องการอย่างอื่นเลย อย่างเพศคฤหัสถ์ จะเอาเงินไปทำไม และในพระธรรมวินัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่า ภิกษุในพระธรรมวินัย ไม่รับ และไม่ยินดีในเงิน และทอง ด้วยประการใดๆ ทั้งหมด ไม่ใช่ว่ารับมาแล้วไปให้คนอื่น แสดงว่าไม่ยินดี ไม่ใช่ ขณะรับก็ยินดีรับ ถ้าไม่ยินดีจะรับหรือ

    เพราะฉะนั้นถ้าพุทธบริษัท ไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ก็ไม่สามารถที่จะพร้อมเพรียงกัน ที่จะช่วยกันทะนุบำรุงพระศาสนา ให้ดำรงต่อไปได้ เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ทรงมอบภาระให้ใครเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้แทนพระองค์เลย แต่พระธรรมวินัย ที่ได้ทรงบัญญัติไว้ดีแล้วด้วยพระองค์เอง ก็เท่ากับว่าเป็นคำของพระองค์ทั้งหมด ที่จะทำให้ระลึกได้ ว่านี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสว่าภิกษุต้องประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ จึงจะเป็นการขัดเกลากิเลส เพราะถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ก็ขัดเกลากิเลสในเพศคฤหัสถ์ได้ เพราะเหตุว่าปัญญาเท่านั้น ที่ขัดเกลากิเลส อย่างอื่น ธรรมอื่นขัดเกลากิเลสไม่ได้เลย ปัญญาเกิดเมื่อได้ฟังพระธรรม และไตร่ตรอง ไม่ว่าเป็นใคร เป็นหญิง เป็นชาย เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ ได้ยินคำนั้นแล้วไม่ละเลย ไม่เพิกเฉย แต่ว่าไตร่ตรองถึงความละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อเข้าใจประโยชน์ ที่พระองค์ได้ตรัสคำนั้น เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจถูกในธรรม ซึ่งละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่าใครเป็นภิกษุ ตามพระธรรมวินัย บุคคลนั้นรู้เอง นี่เป็นภิกษุหรือเปล่า

    คุณทวีศักดิ์ ที่ว่าภิกษุก็มีกิจของท่าน ๒ ประการ ศึกษาพระธรรม คันถธุระ แล้วก็อบรมเจริญปัญญา วิปัสสนาธุระ

    ท่านอาจารย์ ชาวบ้านที่ไม่ได้ศึกษาเข้าใจผิดเลย ก็คิดว่าการศึกษาพระธรรม คันถธุระเป็นประการหนึ่ง และวิปัสสนาธุระ เป็นอีกประการหนึ่ง แต่ทั้ง ๒ ประการ คือ อันเดียวกัน คือ ต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว ก็เข้าใจขึ้นๆ จนสามารถที่จะปฏิปัตติถึงความเข้าใจตามที่ได้ศึกษา ไม่ใช่ว่าจะไม่ศึกษาเลย คันถธุระไม่เอาเลย แล้วจะไปทำวิปัสสนาธุระ แล้ววิปัสสนาธุระคืออะไร ถ้าไม่มีการศึกษา รู้ได้ไหม ต้องตรงทุกคำ ถ้าไม่มีคันถธุระ ไม่มีวิปัสสนาธุระแน่

    เพราะฉะนั้นแม้ศึกษาแล้ว ไม่ใช่พอใจเพียงเท่านั้น ยังต้องรู้ว่าแค่นี้ไม่พอ ศึกษาทำไม ศึกษาเพื่อเข้าใจถูกต้อง ศึกษาเพื่อสามารถถึงระดับที่จะเข้าใจ สิ่งที่มีตามปกติ ว่าเป็นธรรม เพื่อจะรู้ความจริงว่า ทั้งหมดในสังสารวัฏฏ์เป็นธรรมแต่ละหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเกิด และดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย นี่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เว้นสักคำก็ไม่ได้ เพราะว่าสอดคล้องกันทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจผิดพระภิกษุ ปฏิบัติวิปัสสนาธุระ ไม่ต้องมีคันถธุระ ผิดแน่นอน วิปัสสนาคืออะไร ธุระคืออะไร แล้วถ้าไม่มีคันถธุระ คือ ปริยัติ จะมีปฏิปัตติไหม จะมีปฏิเวธไหม เพราะฉะนั้นทุกคำที่ได้ยิน ไม่ใช่เพื่อฟังเผิน และคิดเอง แต่ต้องไตร่ตรองความลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นถ้าไม่สามารถที่จะแสดงความลึกซึ้งได้ นั่นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทุกคำเมื่อเข้าถึงความลึกซึ้ง จึงรู้ว่าทั้งหมดเป็นธรรม หมายความว่าอะไร ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเหตุว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงความละเอียดยิ่ง ของความเป็นจริง ของสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏ เพราะต้องปรากฏกับปัญญา แค่นี้เห็นไหม ต้องศึกษาไหม ไม่ต้องศึกษาเลย คันถธุระคืออะไร วิปัสสนาธุระคืออะไร ใครให้ไปแยกกัน เพราะทั้งสองนี้ คือ ปัญญา ตั้งแต่ลำดับแรก งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด สอดคล้องกันทุกคำในพระไตรปิฎก เพราะทรงอนุเคราะห์เกื้อกูล รู้ว่าการที่จะเข้าใจจริงๆ ในธรรม เป็นเรื่องละเอียด ถ้าไม่ละเอียดก็คือผิด ไม่รู้ความลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา แต่ละเรื่อง แต่ละข้อ แต่ละคำ เพื่อทุกคำจะนำไปสู่ การถึงการดับอนุสัยกิเลส ซึ่งมีอยู่ในจิตใจทุกขณะ

    อ.อรรณพ ซึ่งก็คงจะได้เป็นประเด็นที่สนทนา ท่านอาจารย์ครับ เพราะความที่ไม่ว่าพระวินัยคิดเองก็ไม่ได้ พระธรรมคิดเองก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นปัญหานี้เกิดจากการคิดพระวินัยเอง คิดพระธรรมเอง ว่าจะต้องเปลี่ยน ต้องแปลง ท่านก็แสดงความคิดเห็นมาดังนี้ว่า คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า พระสงฆ์ไม่สามารถขับขี่รถยนต์ได้ เนื่องจากผิดวินัยสงฆ์ เนื่องจากเป็นภาพที่ไม่เหมาะสม ดูไม่สำรวมในสายตาประชาชนที่พบเห็น แต่ความจริงแล้วไม่มีข้อห้ามใดๆ ที่ไม่ให้พระภิกษุสงฆ์ หรือสามเณร ขับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ทั้งถนนทางหลวง หรือในที่ชุมชน เพียงแต่การขับรถของพระสงฆ์ ต้องขึ้นอยู่กับเหตุผล และในสถานการณ์จำเป็น ที่ทำให้พระสงฆ์ต้องขับรถยนต์ ต้องขับรถอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น อยู่ในถิ่นที่ไม่มีรถสาธารณะ ก็ควรขับขี่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ขับด้วยความประมาท

    สรุปคือ ภิกษุสงฆ์หรือสามเณร สามารถขับขี่รถได้ ไม่ถือเป็นการผิดพระธรรมวินัย ลองนึกภาพในอดีตดูว่า พระสงฆ์ขี่ม้าในการเดินทาง หรือพายเรือออกบิณฑบาต ซึ่งทั้งม้า และเรือ ก็ถือเป็นยานพาหนะ ไม่ต่างกันกับการขับรถยนต์

    คุณทวีศักดิ์ ก็ถ้าจะพิจารณากันต่อไปว่า ถ้าภิกษุขอมีใบอนุญาตขับขี่ เพื่อที่จะขับขี่รถยนต์ได้ แล้วต่อไปมันจะมียานพาหนะชนิดใหม่ๆ ชนิดอื่น อะไรต่ออะไร จะเป็นไปได้ไหม ท่านจะอ้างว่า ท่านจะต้องไปโปรด ไปเทศนา ได้รับกิจนิมนต์ ขอขับเครื่องบินส่วนตัว เหมือนคฤหัสถ์อะไรต่างๆ มันยังไม่เกิด แต่มันก็มีความเป็นไปได้ ถ้าจะอ้างเหตุผลว่า เป็นกิจของภิกษุ จะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ อะไรต่างๆ หรือแม้กระทั่งคราวที่แล้วที่เราได้คุยกันว่า ที่ได้กราบเรียนกับท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยว่า ทำไมมหาวิทยาลัยสงฆ์ ถึงสอนองค์ความรู้ศาสตร์สาขาทางโลก แต่แทนที่จะมีการศึกษาทางปรมัตถธรรม ศึกษาในพระไตรปิฎก ทั้งพระวินัย พระสุตตันปิฏก ทั้งพระอภิธรรมปิฏก ให้ผู้เรียนได้มีความรู้ถูกต้อง แตกฉาน แล้วก็จะได้ช่วยกันเผยแผ่หลักธรรมคำสอน ให้กับสังคม

    เพราะถ้าสังคมนั้นมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง การเบียดเบียนก็จะลดน้อยลง เห็นโทษของการประพฤติทุจริตต่างๆ บ้านเมืองก็น่าจะมีความร่มเย็นเป็นสุขมากขึ้น หรือถ้านักการเมือง หรือข้าราชการที่ดวงตาเห็นธรรมบ้าง ก็จะได้ละอายชั่วกลัวบาป จะได้ลดการกระทำอะไรที่กระทบต่อระดับนโยบายของประเทศชาติ กระทบต่อการสั่นคลอนถึงภาวะของประเทศ ที่ไม่มั่นคงอะไรต่างๆ อยากจะขอให้ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ด้วย

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเป็นปลายเหตุ ล่วงเลยมานานแสนนาน ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์มีพระญาณแค่ไหน ไม่ใช่รู้แต่เพียงอดีต ในแสนโกฏกัปป์ อนาคตต่อไปก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ที่จะเกิดต่อไป พระธรรมวินัยครอบคลุมทั้งหมด เช่น มหาประเทศ สมัยโน้นไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีมือถือ ไม่มีอะไร จะให้พระองค์บัญญัติล่วงหน้าไหม ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีกพันปี อีกพันปี อีกพันปีต่อไป ซึ่งอะไรจะเกิด คนยุคนี้ไม่รู้ได้ รู้แต่เฉพาะเดี๋ยวนี้เท่านั้น

    แต่ให้รู้ว่าการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ทั้งอดีต และอนาคต ด้วยเหตุนี้ทรงแสดงมหาประเทศะ มหาประเทศไว้ให้เทียบเคียง ในพระธรรมวินัย ที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ ว่าบัญญัติทั้งหมดเพื่อขัดเกลากิเลส ใช่ไหม คนที่จะบวชเป็นภิกษุต้องไตร่ตรองตั้งแต่เริ่มต้น จะบวชทำไม เป็นคฤหัสถ์ก็สามารถที่จะฟังธรรม เข้าใจธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ถึงความเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ต่อเมื่อไรบรรลุอหันต์แล้ว จึงไม่ครองเพศคฤหัสถ์อีกต่อไป หมายความว่าเพศภิกษุ เป็นเพศของใคร เป็นเพศของผู้หมดจดจากกิเลส เป็นพระอรหันต์

    เพราะฉะนั้นใครก็ตาม ที่มุ่งจะดับกิเลสจึงบวช เพื่อที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่เหตุการณ์ทั้งหมด ก็เปลี่ยนแปรไปไม่กี่ปีแค่ ๕๐ ปี ในอดีตจนถึงปัจจุบันก็เปลี่ยนมาก ใช่ไหม ตั้งแต่ยังไม่มีรถไฟ ไม่มีเครื่องบิน จนกระทั่งเป็นอย่างนี้ แล้วพระองค์จะต้องบัญญัติไว้หมดล่วงหน้าหรือ อีกเท่าไรที่พระศาสนา คำสอนของพระองค์จะดำรงต่อไป ท่ามกลางสิ่งต่างๆ เหล่านี้

    เพราะฉะนั้นบัญญัติที่ได้บัญญัติไว้แล้ว เป็นเครื่องเทียบเคียงว่า สิ่งใดควร เพราะได้ทรงบัญญัติแล้วว่า สิ่งนั้นควรหรือไม่ควร ก็ต้องพิจารณาว่า ไม่ว่าสิ่งใดทั้งสิ้น ในอนาคตนานเท่าไรก็ตาม สิ่งนั้นควรหรือไม่ควรแก่ภิกษุ ภิกษุเก็บเกลือได้ไหม แล้วจะมาเก็บคอมพิวเตอร์ หรือจะเก็บมือถือไว้ทำไม ได้หรือ แค่นี้ก็เป็นเครื่องสอบทานแล้วใช่ไหม พระปัญญาคุณ ที่ทรงแสดงไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ก็จะต้องอาศัยมหาประเทศนี่แหละ เป็นเครื่องเทียบเคียงว่า พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้แล้วว่าอย่างไร เมื่อบัญญัติขัดเกลากิเลสถึงปานนั้น แล้วจะคิดเองว่าจะมีอย่างนั้น จะมีอย่างนี้ เข้าใจพระธรรม รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ว่าการที่สละ พระองค์สละหมด เพื่อที่จะได้รู้แจ้งสภาพธรรมฉันใด ผู้ที่จะเหมือนพระองค์เท่านั้น จึงละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต และจะกลับมาสงสัยอะไร จะกลับมาทำอะไร มหาประเทศก็แสดงอยู่แล้วชัดเจนว่า ไม่ควรแก่พระภิกษุ เพราะต้องถามตัวเอง บวชทำไม ถ้าไม่ได้บวชเพื่อจะขัดเกลากิเลส ต้องศึกษาพระธรรม แล้วก็อนุเคราะห์คฤหัสถ์ ซึ่งทะนุบำรุงพระภิกษุ ให้ดำรงชีพ ศึกษาพระธรรมขัดเกลากิเลสได้ ด้วยปัจจัย ๔ ที่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิต เกินกว่านั้นไม่ได้ ทรงบัญญัติไว้หมดทุกประการ แล้วใครซึ่งนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเปลี่ยน ไม่ว่าสถานการณ์อีกพันปีจะเป็นอย่างไร อีกพันปีต่อไปจะเป็นอย่างไร คำของพระองค์ทรงแสดงกำกับไว้หมดสิ้น แม้แต่มหาประเทศก็แสดงไว้แล้ว

    เพราะฉะนั้นพระภิกษุ มีกิจที่จะอนุเคราะห์ คำถามของท่านผู้นี้ก็ไม่เข้าใจธรรม เรียกสงฆ์ทุกคำ แต่ว่าสงฆ์หมายความถึงอะไร ภิกษุสงฆ์ ภิกษุบุคคลต่างหาก ที่ทำผิด ประพฤติผิด สงฆ์ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย เพราะเป็นหมู่คณะของผู้ที่ได้รู้แจ้งสภาพธรรม ตามพระธรรม และตามพระวินัย ก็คือว่าต้องเป็นภิกษุหลายรูป ไม่ใช่รูปเดียว เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องละเอียด เรียกก็เรียกผิด เพราะเข้าใจผิดตั้งแต่ต้น แล้วอย่างอื่นจะไม่ผิดหรือ ในเมื่อไม่ได้ศึกษาเลย ก็ต้องผิด


    หมายเลข 12064
    1 ต.ค. 2567