อารมณ์ปรากฏดีกับสติ


    อ.วิชัย ตามความเป็นจริง เมื่อรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร มโนทวารก็รู้อารมณ์นั้นสืบต่อ โดยมีภวังค์คั่น โดยปกติเมื่อสติเกิด เริ่มระลึกรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางทวารต่างๆ โดยความเป็นจริงทางมโนทวารเกิดมากกว่าทางปัญจทวาร เพราะฉะนั้นการปรากฏของมโนทวาร จะปรากฏโดยสติระลึกรู้มโนทวารในลักษณะอย่างไรครับที่จะรู้อย่างนั้น

    สุ. ขณะที่กำลังเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เช่น ความรู้สึก ขณะนั้นต้องแยกไหมคะว่า ทวารไหน

    อ.วิชัย ไม่ครับ เพราะเหตุว่ามีความรู้สึกปรากฏ

    สุ. แต่จากการศึกษาทราบได้

    อ.วิชัย และที่เรียกว่า มโนทวารที่ปรากฏมากกว่าทางปัญจทวาร คือ เป็นความเข้าใจที่เป็นปัญญาที่จะรู้ความจริงในขั้นคิดนึก หรือครับ

    สุ. มโนทวารปรากฏมากกว่าทางปัญจทวาร ฝัน ทวารไหน

    อ.วิชัย มโนทวาร

    สุ. ค่ะ คิดนึกโดยที่ไม่มีอะไรเลย แม้แต่ตาเห็น ใจก็คิดๆ ๆ เรื่องอื่นไป ขณะนั้นอะไรปรากฏมากกว่ากัน

    อ.วิชัย ก็คิดนึกมากกว่า

    สุ. แล้วคำถามของคุณวิชัยว่าอย่างไรคะ

    อ.วิชัย คือทราบ สติเริ่มเกิดที่จะระลึกรู้ตามทวารต่างๆ ที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางปัญจทวาร หรือมโนทวาร ตามความเป็นจริง ทางมโนทวารต้องเกิดมากกว่า เมื่อ อารมณ์แม้ปรากฏทางมโนทวาร สติก็สามารถระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมที่รู้ทางมโนทวาร โดยไม่ต้องคิดเป็นคำว่า มากกว่า หรืออย่างไร

    สุ. กำลังรู้ลักษณะที่อ่อน หรือแข็ง กำลังจับไมโครโฟนอยู่ใช่ไหมคะ คิดว่าอย่างไร หรือเปล่า แต่ลักษณะแข็งปรากฏโดยไม่ต้องคิด แต่ไม่รู้เพราะอกุศลจิตเกิด จึงไม่สามารถรู้ลักษณะที่แข็งว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง แต่เวลาที่สติปัฏฐานเกิด จะต้องคิดไหม ในเมื่อแม้ขณะที่กำลังมีแข็งเป็นอารมณ์ แต่อกุศลจิตเกิด ก็ไม่ต้องคิดอะไร ฉันใด เวลาที่สติสัมปชัญญะกำลังมีลักษณะนั้นเป็นอารมณ์ ก็ไม่ได้คิดเป็นคำ แต่กำลังเริ่มมีความเข้าใจในลักษณะที่แข็ง เพราะว่าปกติธรรมดาไม่ได้คิดที่จะเข้าใจลักษณะนั้นเลย ปรากฏแล้วก็หมดไปอยู่ตลอดเรื่อยๆ จับช้อน จับส้อม แข็งก็แข็งไป แต่เวลาที่มีการเข้าใจว่า เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพียงปรากฏค่ะ และจริงๆ แล้ว เพียงปรากฏเพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปด้วยอย่างรวดเร็ว แต่ขณะนั้นปัญญายังไม่สามารถจะประจักษ์ความจริงนั้นได้ เพราะสติเริ่มที่จะรู้ลักษณะที่ปรากฏ แม้ขณะที่เสมือนว่าแข็งปรากฏ ก็มีทางตาด้วย มีเสียงด้วย นี่แสดงถึงความเล็กน้อยของแข็ง ซึ่งเกิดแล้วดับจริงๆ จึงมีการรู้อารมณ์ทางทวารอื่นคั่นได้ แต่สภาพเหล่านั้นก็ยังไม่ปรากฏ จนกว่าปัญญาจะรู้เพิ่มขึ้น โดยการที่สติสัมปชัญญะรู้ลักษณะนั้น และมีความเห็นถูกในลักษณะนั้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น โดยไม่ใช่การคิดเป็นคำ แต่ก็สามารถเข้าใจลักษณะนั้นทีละเล็กทีละน้อยได้

    อ.วิชัย หมายความว่า โดยสภาพของธาตุรู้ ไม่ว่าจะรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร หรือมโนทวารก็แล้วแต่ แต่เมื่อมีสภาพธรรมปรากฏ สติก็เริ่มรู้ลักษณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางปัญจทวาร หรือมโนทวาร คือ ไม่ได้คิดเป็นคำ เพราะเมื่อสติเกิด มีอารมณ์ที่ปรากฏเท่านั้น ไม่ได้คิดเป็นคำว่า มโนทวาร หรือปัญจทวาร

    สุ. นั่นถูกต้องค่ะ เวลาที่สติเกิดจริงๆ ไม่ใช่ว่าไปคิด แต่รู้ว่าขณะนั้นต่างกับขณะที่หลงลืมสติ ขณะนั้นก็รู้โดยที่ไม่ต้องท่อง หรือคิดว่า ต่างกับขณะที่หลงลืมสติ เพราะว่าลักษณะนั้นต่างกันอยู่แล้ว ลักษณะของสติเกิด ก็ต่างกับขณะที่หลงลืมสติ เพราะ อารมณ์ปรากฏดี หมายความว่าเวลาที่สติไม่เกิด สภาพธรรมแม้มีปรากฏกับวิญญาณนั้นๆ ก็หมดไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีการปรากฏดี ตามความเป็นจริง ดี คือ ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น

    อ.วิชัย เคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวบ่อยๆ เกี่ยวกับว่า อยู่ในโลกของความคิดมากกว่า ก็เลยสงสัยว่า ขณะที่สติปัฏฐานเกิด คือเข้าใจโดยการศึกษาว่า โลกของความคิดนึกมากกว่า และความจริงก็คืออย่างนั้น แต่ถ้าสติเกิด ก็คือไม่ได้ใส่ใจจะคิดว่า ทางมโนทวารมากกว่าทางปัญจทวาร

    สุ. ขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด ไม่ใช่ขณะที่คิดคำ แต่กำลังมีลักษณะของ สภาพธรรมกำลังปรากฏให้รู้ว่า ขณะนั้นไม่ได้หลงลืมสติ เพราะว่าสติกำลังรู้ลักษณะนั้น ถ้าเห็นว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นไม่ฝันแน่ แต่เห็นคนมากมาย สถานที่ต่างๆ เหมือนอยู่ในความฝันไหม

    อ.วิชัย ก็เป็นเรื่องของความคิดนึก


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 277


    หมายเลข 12108
    26 ส.ค. 2567