วิบากจิต พฐ.1234
เด่นพงศ์ ที่เราเข้าใจ ขับรถมา รถชนโครม ไม่ใช่วิบากหรือครับ
สุ. โดยมากความคิดเดิมๆ ของเราเป็นเรื่องราว และก็เป็นตัวตนด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจจริงๆ รู้จักจิตแต่ละประเภทว่าเกิดดับสืบต่อเร็วมาก ไม่เหมือนอย่างยาวๆ ที่เราคิด เพราะฉะนั้นสำหรับเรื่องนี้ก็ขอให้คุณเด่นพงศ์ยกตัวอย่างว่า ในความคิดของคุณเด่นพงศ์นั้น วิบากคือเมื่อไร
เด่นพงศ์ ผมเข้าใจอย่างสามัญชน วิบากคือผลของกรรม เมื่อไรรถไม่ชน เราไม่เรียกวิบาก แต่ที่เห็นไม่ใช่วิบาก เมื่อมาฟังวันนี้ รู้ว่าจิตเห็นเกิดขึ้นเพราะผลของกรรม
สุ. ถูกต้อง นี่คือการฟังธรรม ก่อนนี้เราไม่ได้ฟังพระธรรม เราคิดเอง เราอาจจะอ่านหนังสือบางเล่มซึ่งคนบางคนไตร่ตรองแล้วก็คิดขึ้นตามการคาดคะเน แต่ไม่ใช่การศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ต้องต่างจากคนอื่นที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเพียงคิดคาดคะเนเท่านั้นเอง
ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่าคะ ไปรถชนที่ไหน อย่างไรหรือเปล่า ที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด
เด่นพงศ์ จิตเกิดจากผลของกรรม ไม่ทราบจะถูกไหม
สุ. ค่ะ นี่เป็นเหตุที่เราจะเรียนละเอียดว่า จิตที่เรากล่าวถึงเป็นชาติอะไร ชาติ ชา – ติ แปลว่า การเกิดขึ้น เกิดขึ้นเป็นกุศล หรือเกิดขึ้นเป็นอกุศล ซึ่งเป็นเหตุ หรือเกิดขึ้นเป็นวิบาก ซึ่งเป็นผลของกุศล และอกุศล หรือเกิดขึ้นเป็นกิริยา ไม่ใช่ผลของกุศล และอกุศล เพราะว่าจิตประเภทหนึ่งประเภทใดที่เกิดขึ้น ต้องเป็น ๑ ใน ๔ จะเกิดขึ้นโดยไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล ไม่เป็นวิบาก ไม่เป็นกิริยา จะมีจิตไหน ไม่มีเลย แต่เพราะไม่รู้ต่างหาก จึงไม่รู้ว่าขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนเป็นอกุศลซึ่งเป็นเหตุ เมื่อเหตุมีแล้ว ผลจะเกิดเมื่อไร และผลจะเกิดเป็นอะไร และผลจะเกิดมาได้อย่างไร ต้องมีปัจจัยพร้อมที่จะทำให้ผลของกรรมนั้นๆ เกิด
เพราะฉะนั้นเมื่อเรียนละเอียดขึ้น จะรู้ได้ว่า ต้องแยกเป็นจิตแต่ละประเภท จิตใดที่เห็น จิตนั้นอาศัยจักขุปสาท ไม่ได้อาศัยโสต คือ หู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นอุบัติเหตุเกิดขึ้น กายเจ็บ ขณะนั้นกรรมให้ผลทางกาย แต่ถ้ากรรมนั้นไม่ใช่การให้ผลทางกาย ให้ผลทางตา ไม่เจ็บ แต่เห็น แล้วแต่ว่าจะเห็นสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ ไม่เจ็บ แต่ถึงกาลที่กรรมจะให้ผลให้ได้กลิ่น จะได้กลิ่นขยะ ใครอยากได้บ้าง แต่ว่ากรรมเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นได้กลิ่นนั้น ปฏิเสธไม่ได้ ห้ามไม่ได้ ยับยั้งไม่ได้ เพราะเหตุที่ได้กระทำแล้ว ขณะนั้นเป็นอุบัติเหตุหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นคำว่า “อุบัติเหตุ” ในภาษาไทย เราก็จำกัดแคบมาก และเข้าใจเอาเอง แต่อุปัติ คือ การเกิดขึ้นของวิบาก เป็นผลของกรรม ต้องแยกเป็นแต่ละทาง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ คุณเด่นพงศ์พอที่จะเข้าใจไหมว่า เห็นขณะนี้เป็นวิบาก
เด่นพงศ์ ผมเริ่มเห็นโดยจับประเด็นที่ว่า จิตทุกดวงเกิดจากผลของกรรม
สุ. ถ้าเป็นกุศล ไม่ได้เกิดจากกรรม เกิดเพราะการสะสมฝ่ายดี เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นวิบากต้องเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย แต่ไม่ใช่มีปัจจัยเดียว จิต ๑ ขณะมีหลายปัจจัย แต่ปัจจัยของวิบากจิตที่ขาดไม่ได้ คือ กัมมปัจจัย
เด่นพงศ์ ถ้าอย่างนั้นใช้คำให้ถูกที่สุด คือ วิบากจิตเกิดเพราะผลของกรรม
สุ. เพราะกรรมเป็นปัจจัย ตัววิบากเป็นผล ตัวกรรมเป็นเหตุ กรรมเป็นเหตุ ซึ่งต้องมีผล คือ วิบากจิต
เสียงที่กำลังได้ยิน จิตประเภทไหนที่ได้ยินเสียง
เด่นพงศ์ เป็นวิบากจิต
สุ. ทีนี้หมดเลย ทางตา เป็นวิบากที่เห็น ทางหู เป็นวิบากที่ได้ยินเสียง ๕ ทวาร
เด่นพงศ์ จนกระทั่งถึงนึกคิดด้วยหรือเปล่า
สุ. นึกคิดไม่ใช่วิบาก นึกคิดเป็นผลของการสะสม เห็นอย่างเดียวกัน นึกคิดต่างกัน
เด่นพงศ์ ถ้าอย่างนั้นเฉพาะปัญจทวาร
สุ. และยังมีอีก ที่ใดก็ตามในพระไตรปิฎกที่เป็นวิบาก ให้ทราบว่าเป็นผลของกรรม สำหรับจิต และเจตสิก
เด่นพงศ์ รื่องนี้มีชาติของจิตที่ผมเห็น เราบอกว่ามี ๔ ชาติ คือ กุศล อกุศล วิบาก กิริยา เมื่อกี้เราก็พูดกันไปแล้ว บางครั้งเราใช้คำว่า กุศลวิบาก อกุศลวิบาก
สุ. หมายความว่า วิบากนั้นเป็นผลของกุศล จึงเป็นกุศลวิบาก
เด่นพงศ์ ไม่ใช่ว่าจิตอีกประเภทหนึ่งต่างหาก
สุ. ไม่ใช่ค่ะ จิตประเภทนั้นเป็นผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ถ้าจิตนั้นเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ใช้คำว่า อกุศลวิบาก คือ ผลของอกุศล
เด่นพงศ์ แต่ชาติของมันคือวิบาก
สุ. วิบากค่ะ แต่วิบากของอะไร เห็นไหมคะ วิบากของกุศลหรืออกุศล