ความไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรม-2


    ด้วยเหตุนี้การฟังธรรม ไม่ใช่ว่าเราไม่มีความรู้อะไรเลย และเราก็จะไปทำอะไรเพื่อให้รู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรม แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่า สิ่งที่ฟังจริง เพราะกำลังปรากฏ เพื่อจะได้เข้าใจให้ถูกต้องว่า เราไม่รู้แค่ไหน และยังไม่รู้ต่อไปอีกมากเลย รู้แต่เรื่อง ตลอดชาตินี้ ถ้าไม่มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็เป็นเรื่องในภาษาไทยด้วย เพราะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเลย

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ก็คงจะต้องกล่าวถึงบ่อยๆ ว่า ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏให้มั่นคงว่า เป็นธรรมเท่านั้น และก็มีลักษณะเฉพาะแต่ละลักษณะที่จะปรากฏแต่ละทาง และเพราะการเกิดขึ้น และดับอย่างรวดเร็วมากนี่เอง จึงไม่สามารถจะประจักษ์ความจริงเพียงขั้นฟังเข้าใจ ต้องรู้ระดับของความเข้าใจด้วย เพราะว่าหลายคนก็มานั่งปรารภว่า ฟังก็เข้าใจหมด แต่ก็เป็นตัวตน ก็ถูกแล้วยังไง ความจริงเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น จะให้ปัญญาระดับนี้ไปละกิเลสอะไร โดยที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องละเอียด ต้องรู้ว่า ธรรมมี ๓ ระดับ ขั้นฟังเรื่องราว ก็ยากที่จะเข้าใจ อย่างขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตากับความคิดนึก รูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏสืบต่อดับไป เร็วมาก เหมือนกับว่าสิ่งนั้นไม่ได้ดับ และมีรูปร่างสัณฐานต่างๆ ให้จำไว้เป็นแต่ละชาติ แล้วเมื่อไรจะมีความเห็นถูกสักที ถ้าไม่มีการฟัง

    เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบร้อนไปทำอะไร ที่จะให้รู้ลักษณะของสภาพธรรม ถ้าไม่เป็นความเห็นถูก ไม่เป็นความเข้าใจถูก ไม่ใช่ปัญญา จะไปรู้อะไรที่ไม่ใช่ปัญญา ไปรู้ความจริงของสภาพธรรมไม่ได้ แต่รู้อื่นได้ รู้เรื่องราววิชาการต่างๆ ได้ แต่ว่าไม่สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ตรง ตราบใดที่ยังไม่มีความเข้าใจขั้นแรกว่า ขณะนี้เป็นธรรม ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงยิ่งกว่านี้ ไม่มีทางที่เริ่มรู้ลักษณะซึ่งกำลังปรากฏด้วย แต่ละทางก็ต่างๆ กันไป นั่นคือ นอกจากปริยัติแล้ว เมื่อมีความเข้าใจดี ก็เป็นปัจจัยให้ปฏิปัตติ เริ่มมีสติ ที่ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทีละอย่าง เป็นปกติ

    ถ้าถามว่า ทำไมต้องเป็นปกติ ก็เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก แล้วจะไม่เป็นปกติได้อย่างไร ถ้าจะรู้ก็รู้สภาพธรรมที่เกิดดับ สืบต่อปรากฏเป็นปกติ เพราะว่าความเป็นปกติ คือ ความเกิดดับอย่างเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏแม้เกิดดับ ก็ยังสืบต่อให้รู้ได้ เข้าใจได้ ก็ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไปทำอย่างอื่นให้ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ทำไมต้องเป็นปกติ เพราะว่าสภาพธรรมขณะนี้เกิดแล้วดับแล้ว เป็นปกติ เพราะฉะนั้นก็จะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเป็นปกติ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งอีกขั้นหนึ่ง คือ ปฏิเวธ เพราะฉะนั้นก็มีปริยัติ การศึกษาเรื่องราวของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ปฏิปัตติ เริ่มรู้ลักษณะที่มีจริงๆ ด้วย สติสัมปชัญญะ จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น คลายความไม่รู้ แล้วสามารถแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ถ้าจะรู้สึกตัวว่า เข้าใจธรรมแค่ไหน ก็คือขณะนี้เริ่มคลายความไม่รู้ลักษณะที่เป็นธรรมที่กำลังปรากฏ หรือเปล่า ถ้ายังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่เสมอตลอดไป ก็แสดงว่า ปัญญาขั้นนี้ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้รู้ความต่างกันของขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด ขณะที่ไม่เกิด เพราะอะไร เพราะตราบใดที่สติสัมปชัญญะยังไม่เกิด ไม่มีทางที่จะรู้ลักษณะของสติสัมปชัญญะ ก็เป็นขั้นฟังเรื่องราวไปเรื่อยๆ เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งที่จะเป็นปัจจัยให้มีการระลึก คือ สติเกิด แล้วก็รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องอะไรเกิดกับอะไร พร้อมกันอย่างไร เพราะว่าต้องรู้ลักษณะที่เป็นธรรมก่อน


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 287


    หมายเลข 12172
    26 ส.ค. 2567