สัจญาณเป็นทางที่ทำให้สัมมาทิฏฐิเกิดร่วมกับสัมมาสติ
สุ. เพราะฉะนั้นวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่ทันทีที่สติสัมปชัญญะระลึ๑กลักษณะของสภาพธรรม ก็จะประจักษ์ความจริงว่า เป็นธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน จนกระทั่งจะไปประจักษ์การเกิดดับ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่จากการที่มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เป็นสัจญาณ ก็เป็นทางที่ทำให้สัมมาทิฏฐิเกิดร่วมกับสัมมาสติ จนกว่าวิปัสสนาญาณเกิดเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะรู้กำลังของปัญญา ซึ่งไม่ใช่เป็นวิปัสสนาญาณที่มีกำลัง แต่ว่ากำลังก็คือต่างกับการที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นขั้นประจักษ์แจ้ง
นี่คือมีการเข้าใจสภาพธรรมลึก และคมตามความเป็นจริง จนกระทั่งสามารถเข้าถึงคำที่เรากล่าวจนชินหู ไม่ว่าจะเป็นกี่ชาติก็ตาม เช่น มโนทวาร ไม่ใช่จักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร ขณะนี้มีเห็น พอจะเข้าใจจักขุทวาร มีได้ยิน พอจะเข้าใจโสตทวาร มีได้กลิ่น ก็พอจะเข้าใจฆานทวาร มีลิ้มรส รสปรากฏ ก็พอจะเข้าใจลักษณะของชิวหาทวาร มีการรู้สิ่งที่อ่อนแข็งขณะนี้ ก็พอจะเข้าใจ แต่มโนทวารซึ่งเกิดต่ออยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ปรากฏเลย ก็ยังคงมีความสงสัย มีความไม่รู้ ซึ่งความไม่รู้ และความสงสัย อวิชชา และวิจิกิจฉาจะค่อยๆ น้อยลง เมื่อมีปัญญาเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้นการที่จะถึงกาลที่จะดับกิเลสได้โดยโสตาปัตติมรรคจิต ดับอนุสัยกิเลส เพราะเหตุว่ามีการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น จนกระทั่งความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรม และความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมน้อยลง มีการหน่าย การคลาย แต่ยังไม่ถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็ยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท
เพราะฉะนั้นที่ว่า ดับกิเลสที่ไหน ก็ดับอนุสัยกิเลสที่มีสะสมอยู่ในจิต เพราะถ้าจิตนั้นไม่มีอนุสัยกิเลส ปัญญาจะดับอะไร เมื่อไร บอกว่ามรรคจิตดับอนุสัย แต่ถ้าอนุสัยไม่อยู่ในจิตนั้น มรรคจิตดับอนุสัยที่ไหน เพราะว่าจิตทุกขณะเกิดแล้วดับ ไม่ได้กลับมาอีกเลยสักขณะเดียว
เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความเข้าใจว่า การที่จะดับอนุสัย ก็คือขณะที่ความรู้เพิ่มขึ้น แล้วปัญญาประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม อนุสัย ที่เป็นความสงสัย และความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมก็น้อยลง จนกว่ามีนิพพานเป็นอารมณ์เมื่อไร มรรคจิตก็คือดับหมดในความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม และวิสังขารธรรม ไม่ใช่ในจิตอื่น ในจิตที่สืบต่อสะสมเป็นอนุสัยนั่นเอง
อ.วิชัย ถ้าอย่างนั้นขณะนี้ก็แสดงว่ามีการสั่งสมจิต แล้วก็สืบต่อไป
สุ. ถูกต้องค่ะ เราไม่สามารถจะรู้สภาพของนามธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อ นานแสนนาน และสะสมมาแล้วแต่ละชาตินานแสนนาน ทั้งทางฝ่ายกุศล และทางฝ่ายอกุศล เพราะว่าเป็นนามธรรม จะรู้นามธรรม จะรู้ได้ถึงสภาพที่ไม่มีรูปร่างเลย แต่มีทุกอย่างที่เป็นนามธรรมที่สะสมมา และผู้ที่สามารถจะรู้ได้ถึงขนาดนั้น ไม่ใช่ของพระองค์เองเท่านั้น สัตว์โลกทั้งหมด ก็ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีใครสามารถประมาณ หรือเทียบปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ จึงกล่าวว่า ขณะที่กำลังเริ่มมีความเข้าใจธรรม ก็อุปมาเหมือนจะงอยปากยุงที่หยั่งลงในมหาสมุทร เพราะขณะนี้นามธรรมรูปธรรมเกิดแล้วดับแล้ว ก็ฟังไป เข้าใจไป แต่ว่ายังไม่ได้รู้จริงๆ เมื่อไร ก็ยังไม่สามารถจะละความสงสัยได้ว่า ถ้าไม่จริงอย่างนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เพราะว่าต้องเป็นการตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งใดที่ยังไม่เกิดขึ้นปรากฏ ใครจะไปรู้ความจริงได้ แต่ว่าสิ่งที่กำลังมี ก็สามารถที่จะเข้าถึงสภาพจริงๆ ของธาตุนั้นๆ ได้ถูกต้อง
ที่มา ...