การเข้าถึงการเข้าใจธรรมจริงๆ
สุรีย์ คือคำว่า “เข้าใจ” ถ้าเผื่อทางโลก เราก็เข้าใจเป็นเรื่องราว ขอเรียนถามอาจารย์ว่า ในขณะที่เข้าใจเป็นเรื่องราว อยู่ในที่เราคุยกันว่า “สะสม” หรือเปล่า
สุ. คงไม่เป็นเอาตอนนั้นตอนนี้ แต่ให้ทราบว่า กุศลจิต และอกุศลจิตที่เกิดแล้วดับแล้ว สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ
สุรีย์ ถ้ารู้ความเป็นปรมัตถ์ มันจะสะสม นั่นคือกุศล หรืออกุศลที่เราสะสมไว้ที่จะต่อไปได้ ถ้าเข้าใจเรื่องราว ชาติหน้าลืมหมด ต้องเข้าใจลักษณะ โดยพิจารณาก่อน แล้วจึงจะเข้าถึงปรมัตถธรรมที่ปรากฏ อันนั้นจึงจะเป็นสะสม
สุ. คุณสุรีย์หมายถึง การฟังธรรม หรือการศึกษาธรรม ภาษาไหนก็ภาษานั้น ที่เราจะใช้ อย่างตำราของเราก็เป็นภาษาไทย เขียนภาษาไทย เป็นเรื่องภาษาไทย เราอ่านเข้าใจ นี่คือขั้นต้น อ่านคำว่า “รูป” มีใครอ่านไม่ออกบ้าง ไม่มีใช่ไหมคะ อ่านคำว่า “นาม” ใครอ่านไม่ออกบ้าง ก็ไม่มี ก็อ่านได้ นี่คือบางคนเข้าใจว่า เข้าใจธรรมโดยการอ่าน คือ เพียงได้ยินคำว่า “นาม รูป ธรรม” ก็เข้าใจว่า นั่นคือการเข้าใจธรรม แต่ความจริงเป็นแต่เพียงการอ่าน จิตมี ๘๙ อ่านออกใช่ไหมคะ ชื่ออะไรบ้างก็อ่านออก นี่คือระดับหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วเป็นเรื่องตัวจริงของธรรมทั้งหมด ๘๙ ประเภทนี้ก็คือ ความหลากหลายของจิตแต่ละขณะของแต่ละคนที่เกิด ลองคิดดู ตั้งแต่เกิดมา จิตของแต่ละคนหลากหลายมากมายประมาณไม่ได้เลย ชาตินี้ชาติเดียว ตั้งแต่เด็กจนถึงเดี๋ยวนี้ แล้วชาติก่อนๆ อีกล่ะ แต่ไม่ว่าจะหลากหลายมากมายสักเท่าไร ในจักรวาลกี่จักรวาลก็ตาม ประมวลแล้วก็คือมีโลภะ ๘ ประเภท
นี่คือความเข้าใจระดับไตร่ตรอง หรือคิดตามตัวหนังสือว่า เป็นเรื่องของธรรม แต่สติปัฏฐานยังไม่เกิด รู้ว่าเป็นธรรม แต่ตัวจริงของธรรมซึ่งเกิดแล้วดับ ซึ่งต่างกัน ยังไม่สามารถจะรู้ในความต่างได้ ด้วยเหตุนี้การศึกษา หรือการฟังธรรม ก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ว่า เพื่ออะไร เพื่อเข้าใจสิ่งที่มี ถ้าเป็นโดยลักษณะนี้ ชื่อก็ไม่กั้น เช่น แทนที่เราจะพูดว่า นามธรรมกับรูปธรรม หรือธรรม ขณะนี้มีอะไร ต้องเป็นปัญญาของคนนั้นเองที่จะตอบว่า มี หรือไม่มีอะไร เพราะว่าถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลย ตอบไม่ถูก ไม่รู้ว่ามีอะไร มีโต๊ะ มีเก้าอี้ หรือว่ามีอะไร หรือว่ามีคน มีสัตว์ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า กว่าเราจะเข้าใจว่า ธรรมเป็นสภาพที่มีจริง และชื่อ ก็เพื่อที่จะให้รู้ว่า หมายถึงสภาพธรรมไหน
เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวว่า หรือมีความเข้าใจว่า ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง อย่าเพิ่งพอใจเพียงเท่านั้น ขณะนี้อะไรมี ขณะนี้อะไรจริง เป็นธรรม หรือเปล่า ถ้าขณะนี้มีความเข้าใจว่า ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย จะเกิดอีก มีโอกาสได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ ก็สามารถเข้าใจธรรม คือ สิ่งที่กำลังมีในขณะนั้นได้ถูกต้องว่า ทรงแสดงให้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงนั้นเองว่า เมื่อกล่าวว่าเป็นธรรม ก็คือไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ไม่มีชื่อต่างๆ เรียกกันให้รู้ว่าหมายความถึงใคร แต่เป็นลักษณะของธรรมนั้นเอง ทุกคำที่ได้ตรัส ก็เพื่อแสดงลักษณะความจริงของสภาพธรรมให้เข้าใจ
นี่ก็เป็นระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นการจะเข้าถึงการเข้าใจธรรมจริงๆ ก็ต้องต่าง โดยการที่รู้ว่า ไม่ใช่ศึกษาเพียงอ่านได้ ไม่ใช่ศึกษาเพียงรู้ว่ามีจำนวนเท่าไร แต่รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แม้แต่ธรรม ถ้าขณะนี้เข้าใจว่าเป็นธรรม ยังไม่ต้องพูดถึงนามธรรม และรูปธรรมได้
ที่มา ...