สิ่งที่ควรรู้ยิ่งจริงๆ คืออย่างไร


    สุกัญญา จะกราบเรียนถามอาจารย์ถึงเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่จะพิจารณาผู้อื่น แล้วก็เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ แต่อดไม่ได้

    สุ. นี่ก็เป็นเหตุที่เราจะศึกษาธรรม เพราะมีคนอื่น และมีเรา แต่ความจริงทั้งหมดก็เป็นธรรมที่เราไม่เคยเข้าใจว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นตราบใดที่ความเข้าใจธรรมของเรายังไม่เพียงพอ ก็จะมีการไม่เข้าใจสภาพที่มีจริงๆ แต่ไปยึดถือสิ่งที่มีจริงนั้นว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรื่องราว จนกว่าสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม ทั้งๆ ที่เป็นธรรม ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าเรายึดถือสิ่งที่ปรากฏด้วยความไม่รู้ เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นเรื่องราวมากมาย เพราะฉะนั้นประโยชน์ในการเข้าใจธรรม ก็คือสามารถละความไม่รู้ และกิเลสตามลำดับขั้น

    ทุกคนมีกิเลส และหาทางที่จะให้กิเลสลดน้อยลง และเคยได้ยินได้ฟังว่า ทุกข์เพราะกิเลส คนที่แม้มีชีวิตอยู่ มีวงศาคณาญาติ หรือมีเพื่อนฝูงมิตรสหาย มีการเห็น การได้ยิน แต่ก็รู้ว่าเป็นธรรม กับคนที่ยังมีวงศาคณาญาติ มีเรื่องราวต่างๆ แล้วก็ไม่รู้เลยว่าทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ความทุกข์ต่างกันเพราะการยึดถือ

    เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน ก็มีความเข้าใจเรื่องกิเลส และก็รู้ว่า แต่ละคนก็สะสมกิเลสมามาก ถ้ามีหนทางอื่นที่จะทำให้กิเลสลดน้อยลง ไม่ต้องศึกษาธรรม ไม่ต้องมีศรัทธาในคำสอนของพระบรมศาสดา เพราะเหตุว่าคิดว่าทางอื่นก็สามารถลดกิเลสหรือดับกิเลสได้ แต่เพราะเหตุว่าทุกคนมีกิเลส และเป็นทุกข์เพราะกิเลส แล้วก็เพียงอยากให้ไม่มีกิเลส โดยไม่เข้าใจธรรม เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เห็นคุณค่าของคำสอน ก็รู้ว่า ทำให้สามารถเข้าใจความจริง เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้น ละความไม่รู้ ก็ย่อมจะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล จะอด จะห้ามไม่ให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เป็นไปไม่ได้เลย ยังไงทุกคนเกิดมาแล้ว เห็นต้องคิด ได้ยินแล้วต้องคิด จะมีเพียงเห็น เพียงได้ยิน โดยไม่คิดไม่ได้ พอคิดแล้วก็เป็นเรื่องตลอดเวลา โดยที่ไม่รู้ความจริงว่า แม้ขณะนี้ เห็น เป็นสิ่งที่สมควรรู้ยิ่งไหม มีอะไรบ้างที่สมควรรู้ยิ่ง สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ทั้งหมด ทางตา สิ่งที่กำลังปรากฏ ควรรู้ยิ่ง ถ้าไม่รู้ ก็หลง ไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงก็เป็นสภาพธรรมที่เพียงปรากฏเมื่อกระทบจักขุปสาท แล้วก็ดับไป ขณะที่กำลังได้ยิน ก็ไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้ว ความลึกซึ้งของธาตุ ซึ่งเกิดเพราะปัจจัย แล้วทำกิจเห็น แล้วก็ดับไป ก็คือมีจริงๆ ในขณะนี้ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน นี่คือควรรู้ยิ่ง ไม่ใช่ไปควรรู้ยิ่งอย่างอื่น แต่ควรรู้ยิ่งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อรู้แล้วก็ละความไม่รู้ และกิเลสตามลำดับขั้น จนสามารถดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉท ไม่เกิดอีกเลย

    นี่คือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นขณะที่ฟังธรรม ก็คือ ขณะที่เราไม่ได้คิดถึงเรื่องวงศาคณาญาติ เรื่องวันก่อนนั้นทำอะไร พี่น้องเราวันนั้นเป็นอะไร อยู่ที่ไหน อย่างไร นั่นคือไม่ใช่ธรรมที่เรากำลังฟังที่จะให้เข้าใจว่า ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร

    เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังธรรม ก็ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า กำลังฟัง กำลังศึกษา เพื่อจะให้เข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง

    สุกัญญา ฟังท่านอาจารย์กล่าวก็มีความเข้าใจว่า ทุกสิ่งเป็นสภาพธรรม และรู้ตัวด้วย ขณะที่คิดในเรื่องราวของผู้อื่นแล้วเป็นทุกข์ แต่หยุดคิดไม่ได้

    สุ. ไม่ได้ให้หยุดคิดค่ะ ทางตา มีสิ่งที่ปรากฏ ควรรู้ยิ่ง ทางหู ควรรู้ยิ่ง ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ควรรู้ยิ่งในสภาพธรรม ไม่ใช่ในเรื่องราวว่าเราจะไปแก้ไข อย่างไร นั่นคือเป็นเรา เป็นเขา โดยตลอดทุกภพทุกชาติ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงว่า สิ่งที่ควรรู้ยิ่งจริงๆ คืออย่างไร คือ ความเป็นธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    ได้สนทนาธรรมกับชาวต่างประเทศท่านหนึ่ง ท่านก็บอกว่า ที่ดิฉันไม่เหนื่อย ไม่เบื่อที่จะพูดเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซ้ำไปซ้ำมา กี่ปีก็ตาม ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี ๕๐ ปี ก็เพราะเหตุว่าสามารถจะค่อยๆ ให้คนเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งได้ใช่ไหม ก็เป็นความจริงค่ะ เหมือนกับว่าเราไม่สามารถจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏได้ เพราะความไม่รู้ ไม่ใช่เพราะเรา ไม่มีเรา แต่ความไม่รู้ก็ไม่สามารถจะรู้จริงๆ แต่อาศัยการฟังว่า เป็นสิ่งที่มีจริง กำลังปรากฏ และความจริงของสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นอย่างไร การฟังครั้งแรกๆ ปีแรกๆ หลายๆ ปีแรก ก็ค่อยๆ เพิ่มความเข้าใจอีกเพียงเล็กน้อย

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เราสะสมความไม่รู้มานานเท่าไร รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง จะใช้คำว่า “ขัดเกลา” หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่มืดสนิท และกว่าจะค่อยๆ สว่างขึ้น หรือผ้าสกปรกติดแน่นด้วยน้ำมัน หรืออะไรก็ตามแต่ แล้วกว่าจะค่อยๆ ออกไป หรือสิ่งที่มีใหญ่โตมโหฬาร กว่าจะค่อยๆ กะเทาะ สะกิดออกไปทีละเล็กทีละน้อย ต้องใช้กาลเวลาขนาดไหน ต้องเป็นปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่อย่างอื่น และเป็นผู้ที่ตรง คือ สัจจะ สิ่งนี้กำลังปรากฏ จะฟังเรื่องอะไร จะคิดเรื่องอะไร หรือจะฟังแล้ว สภาพธรรม คือสังขารขันธ์ก็กำลังน้อมไปที่จะเข้าใจลักษณะนั้น แม้ขณะนี้กำลังปรากฏ เพียงฟังเข้าใจ แต่ก็ไม่ใช่รู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น โดยประจักษ์แจ้งจริงๆ แต่ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้นเวลาที่มีความเข้าใจธรรม อบรมเจริญปัญญาจนสามารถถึงระดับที่ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม ตรงกับทุกคำที่เคยได้ยิน ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ลักษณะของสภาพธรรมขณะนี้ แม้ฟัง ไม่ใช่เพียงชื่อ แข็งมี ปรากฏ แข็งไม่สามารถจะรู้อะไรได้ สภาพที่กำลังรู้แข็งมี กำลังรู้แข็งนั้น แข็งนั้นจึงปรากฏ สภาพที่รู้นั้นต่างกับลักษณะที่แข็ง คือ มีลักษณะที่เราเข้าใจความเป็นจริง แล้วก็ใช้คำบัญญัติ เรียกลักษณะของสภาพที่มีจริงทั้งหมด ซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยว่า รูปธรรม เพราะว่าเป็นธรรมฝ่ายที่เป็นรูป คือ ไม่รู้อะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นเสียง เป็นอะไรทั้งหมด ก็คือธรรม และใช้รวมกันว่า รูปธรรม ส่วนธรรมที่เป็นฝ่ายรู้ ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลย ลองคิดถึง ล้วนๆ เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้น แล้วก็รู้สิ่งที่กำลังปรากฏอย่างรวดเร็ว แล้วก็ดับไปแต่ละขณะ นั่นคือ ธรรม

    เพราะฉะนั้นก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากนี้ ที่ควรรู้ยิ่ง นอกจากสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่ไม่ใช่หมายความว่า ยังคิดอยู่ ยังคิดไป ยังห้ามคิดไม่ได้ นั่นไม่ใช่ธรรม เป็น ตัวเรา ที่ต้องการอย่างนั้น แล้วก็สงสัยว่า ทำไมบังคับบัญชาไม่ได้ แต่พอรู้ว่า ธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย โดยเฉพาะขณะนี้ ปรากฏแล้วเพราะเกิด ไม่มีใครทำอะไรได้เลยสักอย่างเดียว หาไปซิคะ สภาพธรรมใดที่เกิด เกิดแล้วใช่ไหม จึงปรากฏ สภาพธรรมทั้งหมดที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นโลภะ หรือโทสะ หรือเมตตา อิสสา อะไรๆ ก็ตามทั้งหมดที่มี เมื่อเกิดแล้วจึงปรากฏ แล้วก็ไม่มีใครไปทำให้เกิดด้วย


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 296


    หมายเลข 12222
    27 ส.ค. 2567