ใครไม่มีกรรม
สุ. นี่ก็เป็นเพียงคร่าวๆ ก็ขอร่วมสนทนาเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เพื่อความเข้าใจของผู้ฟังที่ว่า ใครไม่มีกรรม ถามกว้างๆ นะคะ ใครไม่มีกรรม ไม่ได้ถามถึงกรรมในอดีตที่ได้กระทำแล้ว หรือกรรมที่กำลังกระทำ หรือกรรมที่เป็นอนาคต แต่ถามเพียงว่า ใครไม่มีกรรม
เด่นพงศ์ ไม่มีกรรมก็ไม่มาเกิด
สุ. ค่ะ ก่อนเป็นพระอรหันต์ มีกรรม เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นจึงไม่มีกรรมอีกต่อไป ทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม ด้วยเหตุนี้พระอรหันต์ซึ่งดับกิเลสหมดแล้ว เมื่อจิตขณะสุดท้าย คือ จุติจิตเกิดขึ้น ที่ใช้คำว่า “ปรินิพพาน” หมายความว่าดับโดยรอบ ไม่มีปฏิสนธิจิตเกิดอีกเลย
นี่คือความต่างกัน มิฉะนั้นจะไม่เห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงพระธรรม คือ ความจริงของสิ่งที่มี จากคนที่เป็นปุถุชน มีความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ จนกระทั่งปัญญาเจริญขึ้น สามารถดับกิเลสไปตามลำดับขั้น จนกระทั่งดับหมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ได้
เด่นพงศ์ เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กิเลสท่านดับตั้งแต่ยังไม่ดับขันธปรินิพพาน เพราะฉะนั้นกรรมหมดตอนที่กิเลสหมด หรือไปหมดจริงๆ ตอนปรินิพพานครับ
สุ. อดีตกรรม คือ กรรมที่ได้ทำแล้ว ระหว่างที่ยังไม่ปรินิพพาน ก็ทำให้เกิดวิบาก เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส
เด่นพงศ์ ก็เป็นกิริยาจิตเท่านั้น
สุ. วิบากเป็นวิบาก จิตแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย นี่คือสัจธรรม กุศลจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป จะให้กุศลจิตนั้นเปลี่ยนเป็นอื่นไม่ได้ อกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นอกุศล จะเปลี่ยนอกุศลซึ่งเกิดให้เป็นอื่นไม่ได้เลย และจิตที่เป็นวิบาก คือ จิตที่เกิดขึ้นเพราะกรรมหนึ่งกรรมใด เป็นปัจจัยทำให้วิบากเกิดขึ้นเป็นวิบาก เป็นผลของกรรม จะเปลี่ยนให้เป็นเหตุ คือ เป็นกุศล อกุศลไม่ได้ แม้กิริยาจิต ใครก็จะไปเปลี่ยนให้กิริยานั้นให้เป็นกุศล หรือให้เป็นอกุศล หรือให้เป็นวิบากไม่ได้
เพราะฉะนั้นการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนั้นอรหัตมรรคจิตเกิดถึงระดับความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่อรหันต์สาวก แต่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดับกิเลสพร้อมทั้งวาสนา คือ ส่วนที่ไม่ดี การสะสม การประพฤติเป็นไป ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา พระอรหันต์ทั้งหลายดับหมดแล้วก็จริง แต่การสะสมทางกาย ทางวาจา ก็ยังประพฤติเป็นไปตามการสะสม
ที่มา ...