สติขั้นพิจารณา


    ผู้ฟัง ดิฉันอยากขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายสติขั้นพิจารณาอย่างละเอียดสักนิดหนึ่ง เพื่อให้เห็นความต่างกันระหว่าง “หลงลืมสติ” “สติขั้นพิจารณา” และขั้น “สติปัฏฐาน”

    สุ. ขณะที่กำลังฟังก็เป็นกุศลจิตซึ่งต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย เวลาที่เราให้ทาน ไม่ใช่ขณะที่กำลังฟังธรรม เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟัง จิต และเจตสิกเกิดดับสืบต่อ และทำกิจพิจารณา โดยไม่ต้อง “มีเรา” อีกต่างหากที่จะไปพิจารณา แต่ขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมของสังขารขันธ์ที่เกิดดับก็ปรุงแต่งจนกระทั่งเป็นความเข้าใจในขณะนั้น เป็นปกติอย่างนี้ค่ะ

    ผู้ฟัง สมมติว่าเรามีอารมณ์โกรธ หรือโลภะ ในขณะแม้สติปัฏฐานไม่เกิด ขณะนั้นก็คงจะทุเลาได้ ขณะนั้นเรียกว่าสติเกิดในขั้นพิจารณา หรือเปล่า

    สุ. ขณะใดที่เป็นกุศลจิต เป็นจิตที่ดีงาม ก็จะเป็นไปในทาน ในศีล ในความสงบของจิต ในการอบรมความเห็นถูกความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง ในขณะคิดนึกเป็นไปได้ใช่ไหมคะ โดยเฉพาะผู้บริหาร ในขณะที่อาจจะได้อารมณ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่ในขณะนั้นสติเกิด คือ คิดจะสงเคราะห์เพื่อนร่วมงาน อันนี้ก็เรียกว่า เป็นขั้นพิจารณาเหมือนกัน ได้หรือเปล่า

    สุ. ขณะนั้นต้องคิดค่ะ แม้ขณะที่กำลังสงสารหรือเมตตา ก็คิด เพราะไม่ใช่เห็น ขณะใดที่ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และไม่ใช่จิตที่เกิดสืบต่อทางทวารนั้นที่รู้รูปที่ยังไม่ดับ เป็นเรื่องของจิตที่คิด เดี๋ยวนี้กำลังเห็น คิดหรือเปล่าคะ คิดแล้วจึงรู้ว่าเป็นใคร เพียงแค่นั้นก็คิดแล้ว เพราะฉะนั้นก็ทราบได้เลยว่า ขณะใดที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตอื่นนอกจากนี้เราไม่สามารถรู้ได้ เช่น วิถีจิตที่เป็นปัญจทวาราวัชชนะ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ ตทาลัมพนะ เพราะว่าเกิดทีละ ๑ ขณะ สั้นๆ แต่ถ้าเป็นขณะที่ทำชวนกิจสืบต่อกัน ๗ ขณะ แล่นไปในอารมณ์นั้น ก็เป็นขณะที่พอจะรู้ได้ ก็หมายความว่าขณะนี้ที่ไม่เห็น แต่รู้ว่าเป็นอะไร แค่นั้นก็คือคิดแล้ว

    ผู้ฟัง ขณะที่เป็นไปในทาน ในศีล ขณะนั้นเป็นกุศลจิต และสติเกิดร่วมด้วย แต่เราไม่รู้ มีโอกาสไหมว่าตัวเราเองไม่รู้หรอกว่า ขณะนั้นสติเกิด ไม่รู้ เพราะว่ายังไม่ชินต่อการเจริญสติ อันนี้เป็นไปได้ไหม

    สุ. ถ้าไม่ใช่สติสัมปชัญญะจะไม่รู้ลักษณะของสภาวธรรมใดๆ เลยทั้งสิ้น เพียงแต่รู้จักชื่อ รู้ว่าขณะนั้นมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย มีหิริเจตสิก โอตตัปปเจตสิกเกิด แต่ก็ไม่รู้ลักษณะใดๆ เลย

    ผู้ฟัง โสภณจิตมีสิทธิ์จะเกิดได้ไหม ถ้าไม่เป็นไปในทาน ในศีล ในภาวนา

    สุ. เมื่อไรละคะที่จะเกิดได้

    ผู้ฟัง อันนี้คือคำถาม

    สุ. ก็บอกอยู่แล้วไงคะ ขณะใดที่เป็นไปในทาน ต้องเป็นกุศล เป็นโสภณ ขณะที่เป็นไปในศีล วิรัติทุจริต หรือทำสิ่งที่ควรกระทำ ขณะนั้นก็เป็นโสภณ นอกจากนั้น ขณะที่นอนหลับสนิท ขณะนั้นก็มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย เมื่อเป็นผลของกุศล เป็นชาติวิบาก แต่เป็นโสภณ เพราะว่าเป็นผลของกุศล

    ผู้ฟัง แล้วนอนหลับนี่เป็นอโสภณไม่ได้หรือครับ เป็นอกุศลเจตสิกไม่ได้หรือ

    สุ. ถ้าอโสภณ อ แปลว่า ไม่ โสภณ แปลว่า ดี ขณะใดที่ไม่มีเจตสิกที่ดีเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นก็คือ อโสภณจิต เพราะเหตุว่าไม่มีเจตสิกฝ่ายดีเกิดร่วมด้วย

    ผู้ฟัง ถึงแม้จะเป็นอัญญสมานาเจตสิก

    สุ. เป็นอะไรก็ตามแต่ ขณะใดที่ไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นเป็นอโสภณจิต จิตของใครก็ไม่เว้น พระพุทธเจ้ามีอโสภณจิตไหมคะ

    ผู้ฟัง มี

    สุ. เมื่อไร

    ผู้ฟัง ตอนนอนหลับ

    สุ. เมื่อไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    ความจริงชื่อก็ชัดเจนนะคะ อโสภณก็บอกอยู่แล้วว่า ความจริงไม่มีอโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    เพราะว่าส่วนใหญ่ เรา ฟังธรรม ใช่ไหมคะ แล้ว เรา ก็คิดเรื่องธรรม วิเคราะห์อย่างที่คุณสุรีย์กล่าว แล้วพออะไรเกิดขึ้น เราก็บอกว่า นั่นเป็นกุศลธรรม นี่เป็นกุศลจิต นั่นชื่อ วิจิกิจฉา หรืออะไรก็แล้วแต่จะนึกขึ้นมาได้ จนกว่าจะรู้ว่า ไม่มีเราที่กำลังวิเคราะห์ หรือที่กำลังคิด แต่เป็นธรรมทั้งหมด แม้แต่คิดขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง คือ ฟังให้เข้าใจจนกว่าจะรู้ว่าเป็นสภาพธรรมเท่านั้น


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 319


    หมายเลข 12340
    26 ส.ค. 2567