ชาตินี้สะสมพื้นฐานของปัญญาไปก่อน


    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม พระธรรมที่ทรงแสดง เพื่อจะให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง คือ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ก็จะเห็นได้ว่ายากไหมเพียงแค่ฟัง ที่จะมีความเห็นถูกอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่าจะเปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ เมื่อไร ค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อยว่า ไม่มีใคร ไม่มีอะไรในสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ในโทรทัศน์ มีคนไหมคะ มีหรือคะ มีโต๊ะ มีเก้าอี้ไหมคะในโทรทัศน์

    นี่คือสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็เป็นคน ทั้งๆ ที่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นเอง ฉันใด ขณะนี้เหมือนกัน ไม่มีความต่างกันเลย สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ว่าที่ไหน ในหน้าหนังสือพิมพ์มีรูปลิงไหมคะ มี เห็นไหมคะ พอเห็นก็เป็นลิง ซึ่งความจริงจะเป็นลิงได้อย่างไร ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วคิดนึกถึงรูปร่างสัณฐาน ลิงบางตัวไม่มีหาง จริงๆ ค่ะ แต่ก็ยังรู้ว่าเป็นลิง ก็ลองดูซิคะว่า สัญญา ความจำมากมายทับถมจนกระทั่งเป็นความไม่รู้ ทันทีที่ปรากฏก็ไม่รู้เลย นานแสนนาน จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งรู้จริงๆ แต่กว่าจะรู้จริงได้สำหรับแต่ละพระองค์ก็แล้วแต่ว่าสะสมมา จะเป็น ๔ อสงไขยแสนกัป ๘ อสงไขยแสนกัป หรือว่า ๑๖ อสงไขยแสนกัป แล้วเราไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่การสะสมแต่ละภพแต่ละชาติ มีความค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ถ้ามีโอกาสจะได้เฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง แต่ก็ไม่แน่ อาจจะหลายๆ พระองค์ไปเรื่อยๆ ก็แล้วแต่ เพราะเหตุว่าถ้ามีการสะสมพื้นฐานของปัญญา ที่มีศรัทธาที่จะได้ยินได้ฟังต่อไป เมื่อได้ฟังธรรม ความเข้าใจก็จะต่างกับคนที่ไม่ได้สะสมความเห็นถูกเป็นพื้นฐานในจิตใจ

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ชาตินี้จะหวังอะไรหรือเปล่าจากการฟังธรรม หรือเพียงเมื่อฟัง ก็ได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ฟังสักเท่าไรว่าเป็นธรรม แต่ขณะนี้ก็ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้วเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า จริงๆ แล้วไม่มีเรา นี่คือความมั่นคงของการเริ่มเข้าใจถูก แต่ยังไม่ประจักษ์ความไม่ใช่เรา

    ด้วยเหตุนี้ถ้าเป็นผู้ที่ตรงต่อปัญญาที่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ก็จะไม่ข้าม แม้แต่ในขณะที่ฟัง ไม่ได้หวังอะไร หรือยังหวังอยู่ ไม่หวังแล้วใช่ไหมคะ ไม่กล้าหวัง ทำไมไม่กล้าคะ ไม่สามารถที่จะหวังได้ หวังจะเป็นอรูปพรหม ยังง่ายกว่า แต่ว่าหวังที่จะรู้แจ้ง อริยสัจธรรม ต้องเป็นเรื่องของปัญญาจริงๆ แต่จริงๆ แล้ว แม้หวังเป็นอรูปพรหม ก็แสนยาก เพราะว่าขณะนี้ถ้ายังไม่รู้ว่า ความสงบของจิตต่างกับขณะที่ไม่สงบอย่างไร กุศลจิตต่างกับอกุศลจิตอย่างไร ก็จะรู้ได้เลยว่า เกิดมาเรามีพื้นฐานที่สะสมมาแล้วอย่างไร สะสมความไม่รู้มาก หรือสะสมความรู้ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่ตรง ศึกษาธรรมขณะนี้ แต่ก่อนเคยหวัง และบางคนก็อาจจะหวังเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งถึงแม้อย่างไรก็ตามขอถึงนามรูปปริจเฉทญาณก็พอ

    นี่ค่ะ คิดอย่างนี้ คิดดูซิคะ ความหวัง ไม่ได้หวังเพียงเข้าใจธรรมที่กำลังได้ยิน ได้ฟังให้เพิ่มขึ้น แค่เข้าใจนะคะ ให้เพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้นนี่เป็นหนทางละความหวัง ซึ่งความหวังเป็นโลภะ ซึ่งติดแน่นนานแสนนานมาแล้ว ไม่มีอะไรจะละได้เลย นอกจากปัญญา เพราะฉะนั้นถ้าปัญญายังไม่ถึงระดับที่จะละ ใครก็ห้ามความหวังไม่ได้ ประเดี๋ยวก็อาจจะหวัง ไม่หวังถึงนั่น ก็หวังแค่นี้ หรือว่าลดลงมาจากนามรูปปริจเฉทญาณ ก็หวังมีสติปัฏฐานมากๆ ในวันหนึ่ง ก็ค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ แต่ยิ่งฟังยิ่งรู้ ไม่ใช่สิ่งที่จะพึงหวังได้ แต่เป็นสิ่งที่ค่อยๆ เข้าใจ ขณะที่กำลังสะสมความเข้าใจ ขณะนั้นเป็นหนทางที่จะละโลภะ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 321


    หมายเลข 12346
    26 ส.ค. 2567