รูปภายใน รูปภายนอก


    ผู้ฟัง เรื่องการแบ่งรูปออกเป็นหลายนัย มีทั้งรูปภายในรูปภายนอก ทีนี้ก็สงสัยว่า ปสาทรูปเป็นภายใน และที่เหลือ ๒๓ รูป เป็นภายนอก ๒๒ รูปไม่สงสัย แต่สงสัยว่า หทยรูป ทำไมถึงจัดแบ่งเป็นภายนอก

    สุ. ใครแบ่งละคะ พระพุทธเจ้าไม่ได้แบ่ง สภาพธรรมเป็นอย่างไร ก็แสดงตามตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น ถ้ามีความเป็นตัวเรา เราคิดว่าตำรับตำราทั้งหมดแบ่งไว้ มีคนแบ่ง มีคนจัดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ตามความเป็นจริงก็คือ สภาพธรรมที่มี ที่เกิดขึ้นปรากฏเพียงชั่วคราวที่สั้นมาก ใครสามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นได้อย่างถ่องแท้ แม้แต่รูป สภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไร ก็ไม่ใช่มีเพียงอย่างเดียว เมื่อมีหลายๆ อย่าง ก็ยังไม่เห็นว่าเป็นรูปธรรม ยังคงไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมนั้น จึงทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมแต่ละลักษณะ แต่ละอย่าง ตามความเป็นจริง ให้พิจารณาให้เข้าใจตามนัยที่ทรงแสดง เพราะว่านัยที่ทรงแสดงเรื่องของสภาพธรรมหลากหลายมากมาย เพราะว่าสามารถจะกล่าวถึงสภาพธรรมแต่ละอย่าง โดยนัยต่างๆ

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ก็มีรูปที่กำลังปรากฏ แล้วเรารู้ความจริงเรื่องรูปที่ปรากฏมากน้อยแค่ไหน หรือเราคิดว่า เราจะต้องไปแบ่ง หรือไปจำชื่อต่างๆ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ให้รู้ความจริงลักษณะของรูปแต่ละรูปโดยถ่องแท้ เช่น ในขณะนี้มีเห็น ต้องมีรูปปรากฏ และต้องมีสภาพธรรมที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ด้วย คือ รูปที่สามารถกระทบได้ เป็นรูปที่ไม่ใช่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ไม่ใช่สี ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่จมูก ไม่ใช่ลิ้น ไม่ใช่กาย แต่ต้องเป็นรูปที่มีลักษณะที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ถ้ากล่าวเป็นชื่อภาษาบาลีก็เป็น “จักขุปสาทรูป” รู้ลักษณะของจักขุปสาทรูปหรือเปล่า ถ่องแท้หรือยัง แต่ว่ารูปนี้มีแน่นอน ขณะใดก็ตามที่จิตเห็นเกิด แสดงว่ารูปนี้ต้องมี และยังไม่ดับด้วย ทั้งรูปที่ปรากฏทางตา และจักขุปสาท

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่จิตเกิดขึ้น โดยอาศัยจักขุปสาท เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ รูปใดเกี่ยวข้องที่เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น ซึ่งรูปอื่นแม้มี ก็ไม่ได้เป็นส่วนเป็นปัจจัยที่จะให้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นรูปที่ใกล้ชิด เป็นปัจจัยให้จิตสามารถเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทุกวัน รูปนั้นทรงแสดงว่า เป็นรูปภายใน เพราะว่าเกี่ยวข้องกับการที่จิตแต่ละขณะจะเกิดขึ้น และรู้อารมณ์ที่ปรากฏให้รู้ได้ คือ รูปที่ปรากฏทางตา รูปที่ปรากฏทางหู รูปที่ปรากฏทางจมูก รูปที่ปรากฏทางลิ้น และรูปที่ปรากฏทางกาย

    เพราะฉะนั้นรูป ๕ รูปนี้เป็นรูปภายใน เพราะว่ามีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตาว่า ไม่มีใคร ไม่มีเรา และไม่มีใครสามารถที่จะไปสร้าง ไปทำให้สภาพธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นมาเลย แต่ว่าเมื่อเป็นสิ่งที่มี และไม่ใช่ตัวตน ก็เป็นธาตุแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นจึงได้ทรงแสดงว่า อาศัยรูป ๕ รูปนี้แหละ สามารถทำให้เห็นรูปที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพราะฉะนั้น ๕ รูปนี้จึงเป็นภายใน รูปอื่นขณะนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการที่จิตเห็นจะเกิด จิตได้ยินจะเกิดเลย

    ผู้ฟัง แสดงว่าหทยรูปก็เป็นแค่ที่เกิดของจิตอื่นที่ไม่ใช่ทวิปัญจวิญญาณจิต

    สุ. ถูกต้องค่ะ การฟังธรรมต้องเข้าใจว่า แม้สิ่งที่มี ก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ความจริงได้เลย ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงพระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้เรา เป็นเรา ไปนั่งสงสัย ไปนั่งคิดว่า ทำไมทรงแสดงอย่างนี้ ไม่ทรงแสดงอย่างนั้น ธรรมไม่ใช่เพื่อจะตัดสินว่า ควรแสดงอย่างนั้น ไม่ควรแสดงอย่างนี้ หรือว่าทำไมทรงแสดงอย่างนี้ ไม่ทรงแสดงอย่างนั้น เกินปัญญาของเราที่จะไปรู้ได้ เพราะว่าแม้แต่รูปที่มีในขณะนี้ เช่น จักขุปสาท ก็ยังไม่รู้เลย แต่ที่ทรงแสดงว่า เป็นภายใน ในขณะที่มีจิตเห็นเกิดขึ้น และรูปารมณ์ที่กำลังปรากฏ ก็ไม่ใช่จักขุปสาท เป็นรูป ๒ รูปที่มีในขณะนั้น ซึ่งรูปหนึ่งเป็นภายใน เกิดที่กาย และเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งที่ถูกเห็น ก็เป็นภายนอก ไม่ใช่อยู่ภายใน

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เพื่อจะให้เราเห็นความไม่ใช่ตัวตน กว่าจิตแต่ละ ๑ ขณะ จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีปัจจัยอะไรที่เราไม่รู้เลย ใครจะรู้ว่า ขณะนี้ถ้าไม่มีจักขุปสาท จิตเห็นเกิดไม่ได้ พอเห็นแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรเลย และก็ไม่ได้รู้ด้วยว่า เป็นธรรม ไม่ได้รู้ด้วยว่า เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 321


    หมายเลข 12349
    26 ส.ค. 2567