ละคลายได้ด้วยความเข้าใจขึ้นๆ


    ยังไม่ต้องไปถึงการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม เพียงความมั่นคงว่า ขณะนี้เข้าใจ ต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น ทำไมเดือดร้อน ในเมื่อเข้าใจอยู่แล้วว่า ทุกอย่างต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย เตรียมตัวไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะไม่ให้สงสัยก็ไม่ได้ จะไม่ให้คิดก็ไม่ได้ แต่สะสมความมั่นคงในการเข้าใจว่า เป็นธรรม ไม่รีบร้อน หรือเร่งร้อน เพราะเหตุว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่เราต้องการ คือ เมื่อไรจะเข้าใจ ไม่ให้คิด ไม่ให้สงสัย เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ขณะหนึ่งที่เข้าใจแล้วดับไป ขณะต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่จะเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นปัญญาแท้จริง จะไม่หวั่นไหว และมีความเข้าใจว่า ปกติสติปัฏฐานไม่ได้เกิด ถูกต้องไหมคะ เพราะฉะนั้นธรรมอื่นเกิด จนกว่าสติปัฏฐานเกิดเมื่อไร ก็เริ่มเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏ แล้วสติปัฏฐานก็ดับ แล้วอะไรจะเกิด ก็แล้วแต่อะไรจะเกิด สติปัฏฐานจะเกิดอีก ก็มีปัจจัยจึงเกิด แต่ว่าเมื่อมีปัจจัยเกิดแล้ว ไม่ใช่อยากให้เกิด ไปพยายามทำให้เกิด ไปคิดให้เกิด ไปถามหาว่า ทำอย่างไรจะเกิด นั่นคือไม่เข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความมั่นคงจริงๆ ธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วแต่อะไรจะเกิด และความรู้ความเข้าใจที่ฟัง และมีความมั่นคงว่าเป็นธรรม ก็จะทำให้สติสัมปชัญญะค่อยๆ ระลึกได้ เข้าใจลักษณะของสิ่งนั้นในความเป็นธรรม กว่าจะเข้าใจในความเป็นธรรมของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิต ไม่ใช่เราสามารถที่จะให้มีได้ในเวลาเร็ววัน ถ้าเราจากโลกนี้ไป แต่เรามีความเข้าใจที่มั่นคงในเรื่องที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา กับการที่เราอยากให้สติปัฏฐานเกิด แล้วทำอย่างไรสติปัฏฐานจึงจะเกิดได้ ก็แสดงว่าความมั่นคงในการเข้าใจสัจธรรม ไม่มีพอ

    เพราะฉะนั้นชาติต่อไปก็คงจะเหมือนชาตินี้ ในเมื่อชาติก่อนเราอาจจะคิดอย่างนี้มาก็ได้ ได้ฟังมาแล้ว เมื่อไรสามารถทำให้สติปัฏฐานเกิดบ่อยๆ เราอาจจะเคยคิดมาแล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเหตุว่าไม่มีความมั่นคงที่จะเข้าใจว่า ทุกอย่างเกิดในขณะนี้เพราะเหตุปัจจัย แล้วเกิดแล้วด้วย

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นปัญญาแต่ละขั้น ขณะนี้ฟัง เข้าใจที่ได้ฟัง แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจ เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นอย่างนี้ บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจ เพราะสติสัมปชัญญะไม่ได้ระลึกที่จะรู้ลักษณะ เพียงแต่กำลังอบรมความเห็นถูกขั้นฟัง

    เพราะฉะนั้นกว่าที่สติสัมปชัญญะจะเกิด และเริ่มเข้าใจลักษณะ เพราะเหตุว่าขณะนี้เป็นธรรมที่ปรากฏ ล้อมรอบหมดทั้งวัน ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นธรรมทั้งหมด แต่สติสัมปชัญญะก็ไม่ได้เกิดที่จะรู้ลักษณะที่เกิดดับ ปรากฏสืบต่อ เป็นรูปนิมิต เป็นเวทนานิมิต เป็นสัญญานิมิต เป็นสังขารนิมิต เป็นวิญญาณนิมิต เพราะเกิดดับสืบต่อทั้ง ๕ ขันธ์ เร็วมาก

    เพราะฉะนั้นกว่าสติเริ่มที่จะเกิด เหมือนกับการสะสมที่ได้สะสมความเข้าใจจากขั้นการฟัง ก็เป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกน้อยมาก และความเข้าใจก็น้อยมาก ยังไม่พอที่จะประจักษ์การเกิดดับ เพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วมาก หลากหลาย ทางตาเห็น คิดอะไรก็ไม่รู้เลย แต่คิดแล้ว เป็นคนแล้ว เป็นสิ่งของแล้ว เป็นความอยากได้แล้ว เป็นเรื่องราวของสิ่งนั้นๆ มากมายมหาศาล แล้วที่จะรู้ว่า เป็นธรรมแต่ละขณะซึ่งปรากฏเพราะมีสภาพรู้ และไม่ใช่เรา ก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ อย่างท่านที่แต่ก่อนนี้ท่านก็คิดว่า ชาตินี้ท่านก็ขอเพียงนามรูปปริจเฉทญาณ คือ สามารถที่จะประจักษ์ลักษณะที่เป็นนามธรรม และลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นวิปัสสนาญาณ

    ถ้าฟังแล้วยังคิดอย่างนี้ มีทางที่จะถึงไหม ไม่มีเลยค่ะ แต่ถ้ายิ่งฟังยิ่งเข้าใจว่า ที่เคยเข้าใจว่า ชาตินี้ ทั้งๆ ที่กำลังมีสภาพธรรมกำลังปรากฏเลย เข้าใจลักษณะของ สัมมาสติ หรือเปล่า หรือว่าเป็นเราที่รู้สึกตัว เป็นเราที่กำลังอบรม เป็นเราที่กำลังจะเข้าใจ นั่นก็คือไม่ได้เข้าใจความจริง กว่าจะคลายด้วยความเข้าใจขึ้นๆ แล้วก็รู้ลักษณะที่ต่างกัน ถ้า สติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไร ลักษณะของสติสัมปชัญญะก็ปรากฏ ซึ่งต่างจากปกติที่หลงลืม ที่ไม่ได้ปรากฏ และยังมีลักษณะของสภาพธรรมอื่นๆ สืบต่อเร็วมาก ของเก่าไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย แต่ทุกขณะก็สืบต่อจากขณะนี้ต่อไป ถึงขณะต่อไป ที่จะทำให้สามารถค่อยๆ เข้าใจ

    เพราะฉะนั้นไม่มุ่งหวังอะไร ต่อไปที่จะถามว่า แล้วทำอย่างไรสติสัมปชัญญะจะเกิด ทำอย่างไรจะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรม เพียงฟังแล้วเข้าใจจริงๆ ว่า เมื่อเข้าใจจริงๆ แล้ว อะไรจะเกิดก็แล้วแต่เหตุปัจจัย

    นี่เป็นความมั่นคง ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ โอกาสที่สติสัมปชัญญะจะเกิด ก็ย่อมมี เพราะความเห็นถูก ถูกยิ่งขึ้น ตรงยิ่งขึ้น ไม่มีอะไรมากั้นที่จะทำให้ไขว่เขวแล้วก็สงสัย แล้วก็คิดว่า ไม่นานก็คงจะรู้ได้ แต่ผู้ที่เคยกล่าวว่า ยิ่งฟังมากขึ้น ก็จะรู้สึกได้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่จะรู้ได้อย่างรวดเร็ว แม้แต่เพียงความเข้าใจที่จะมั่นคง ก็ไม่ใช่ว่าจะมีง่ายๆ โดยรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้นยากไหมกับการที่ไม่เคยรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ และขณะต่อๆ ไปด้วยว่า เป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป ถ้ามีความเห็นว่า อีกนาน เพราะว่ารู้จักตัวเองว่า กำลังมีสภาพธรรมกำลังปรากฏ ฟังแล้วก็ยังไม่รู้ในความเป็นธรรม แต่ว่าเริ่มมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ผู้นั้นก็รู้ได้ว่าอีกนาน ที่กล่าวอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะเข้าใจธรรม ซึ่งก่อนนั้นไม่เข้าใจเลย คิดว่า จะรู้อะไรก็ได้ แต่ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นก็ไม่มีทางที่จะละความสงสัย และไม่มีทางที่จะดับกิเลสได้เลย เพราะเหตุว่าไม่ได้สะสมความมั่นคงของสัจญาณ ที่รู้จริงๆ ว่า เมื่อไรก็ตาม ไม่เคยขาดธรรม แต่ไม่รู้ธรรม จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้นเข้าใจเท่านั้นพอไหมคะ เพราะว่า ตัวเข้าใจ คือ “ปัญญา” ที่จะเจริญขึ้น แล้วก็ละความสงสัย ความไม่รู้ และถ้ามีความมั่นคง สติสัมปชัญญะก็เกิด ก็มีเครื่องทดลองต่อไปอีกมาก เพราะว่าโลภะไม่จากไปเลย พอสติสัมปชัญญะเกิด อยากไหมที่จะรู้โน่นรู้นี่ ขณะนั้นก็ไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่อยาก ไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมดเลยเป็นธรรม ก็หายไป กลายเป็นตัวเราเข้ามาแทรกแซงอีกแล้ว เข้ามาเห็นว่า ทำอย่างไรอีกแล้ว

    ก็เป็นเรื่องที่ต้องเป็นผู้ตรง และมีความมั่นคงว่า ไม่เคยขาดธรรม แต่ไม่รู้ธรรมว่า เป็นธรรม จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 328


    หมายเลข 12381
    26 ส.ค. 2567