ลักษณะของสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ความเป็นเราจะดู-2


    ผู้ฟัง ต่อเนื่องกับคำถามของคุณกนกวรรณ ในเมื่อสภาพธรรมจริงๆ เป็นธรรม ไม่มีตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นอนัตตา ถ้าเมื่อไรที่เริ่มต้นผิดไปจากนี้ คือ มีตัวตนที่จะไปทำ เพื่อให้ปัญญาเกิด รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็เริ่มต้นผิดจากความเป็นจริงแน่นอน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เข้าใจว่า อะไรผิด อะไรถูก สามารถเอาตัวนี้ไปบอกได้ว่า ใช่หรือไม่ใช่ที่ทำให้เรามีปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    สุ. คงไม่ลืมข้อความที่ว่า อริยสัจ ๔ ลึกซึ้งทั้ง ๔ อริยสัจ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะดู แสดงความลึกซึ้งของมรรคสัจอย่างไร ที่จะกล่าวว่า ลึกซึ้ง หนทางที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมขณะนี้ลึกซึ้ง แม้หนทางก็ลึกซึ้ง แต่ถ้าจะไปดู ลองกล่าวถึงความลึกซึ้งของหนทางว่า กำลังดูอยู่นั่น ลึกซึ้งอย่างไร แต่ความลึกซึ้ง คือ สภาพธรรมเป็นอนัตตา ลืมไม่ได้เลย ลักษณะของสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ความเป็นเราจะดู และขณะนี้สภาพธรรมปรากฏแล้ว เราจะดูอะไร นั่นเป็นอนัตตาหรือเปล่า ขณะนี้กำลังเห็น เขาจะดูเห็นอย่างไรคะ หรือว่าจะเข้าใจให้ถูกต้องว่า ขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ กว่าจะฟังคำนี้จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคง ก็จะรู้ว่า ญาณทั้ง ๓ คือ สัจญาณ กิจญาณ และกตญาณ เป็นไปในอริยสัจทั้ง ๔ ประมาทไม่ได้เลย แม้แต่การจะมีความเข้าใจที่มั่นคงในสัจจะทั้ง ๔ ก็จะต้องมั่นคงจริงๆ จนกระทั่งว่า ขณะนี้ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ก็รู้ ขณะที่สติสัมปชัญญะเกิดก็รู้ เพราะว่าสติสัมปชัญญะไม่ใช่เราดู

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าเรามั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และเป็นอนัตตา เราก็จะมีหลัก ใครจะให้เขวไปนอกทาง เราก็จะเข้าใจได้ว่า ไม่สามารถทำให้ปัญญาเกิดรู้ความเป็นจริงได้

    สุ. และอีกอย่างหนึ่ง ปัญญาเกิดแล้ว ละอะไร หรือว่ายินดีที่เรารู้ ขณะที่คิดว่ารู้มากๆ เกิดความพอใจว่า ได้รู้มากแล้ว ขณะนั้นละอะไร หรือว่าได้ เพราะเราได้รู้ขึ้น แต่ไม่ใช่ปัญญาที่รู้แล้วละความไม่รู้ จากสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเกิดแล้ว

    ผู้ฟัง แล้วเราต้องเชื่อว่า ปัญญาเท่านั้นที่ละได้ ตัวตนไม่มีทางที่จะละอะไรได้เลย

    สุ. กำลังเห็น มรรค ทางที่จะรู้ความจริงของเห็นนี่ ลึกซึ้งไหม จะไปดูอย่างไรคะ ดูเห็น ดูอย่างไรถึงจะเข้าใจถูกต้องว่า เป็นธาตุ หรือเป็นธรรม กำลังเห็นนี่มีแน่นอน และไม่ใช่เราด้วย กำลังคิด ก็มีแน่นอน ก็ไม่ใช่ตัวตน

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจลักษณะของนามธรรมขั้นฟังอย่างมั่นคง และรู้ลักษณะของสติสัมปชัญญะ ซึ่งทรงแสดงไว้ว่าเป็นหนทางเดียว ไม่ใช่เราดู แต่ว่าต้องเป็นมรรคมีองค์ ๘ ปกติก็มี ๕ องค์ และปัญญาก็สามารถรู้ความต่างของขณะที่หลงลืมสติกับขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด โดยเฉพาะสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน รู้ได้หรือเปล่า ถ้าไม่รู้ ยังคงเป็นเราหรือเปล่าที่เห็น และจะเอาออกได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่รู้จริงๆ ไม่ใช่ไปเลือกดูบางนามบางรูป แล้วเข้าใจว่ารู้แล้ว โดยที่ไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 332


    หมายเลข 12400
    26 ส.ค. 2567