สิ่งที่ปรากฏและธาตุรู้มีอายุสั้นมาก ไม่มีเราเลย


    ผู้ฟัง การที่เราศึกษาหรือเข้าใจละเอียดเรื่องวิถีจิต ถ้าแบ่งจิตก็มี จิตที่เป็นวิถีจิตกับไม่ใช่วิถีจิต จะทำให้เราเข้าใจตัวเราเองได้มากขึ้นได้อย่างไร จากการที่เราเข้าใจวิถีจิต

    สุ. ก็สามารถรู้ได้ว่า ขณะที่ไม่ใช่วิถีจิต อารมณ์ใดๆ ก็ไม่ปรากฏ ถูกต้องไหมคะ เช่นขณะที่หลับสนิท แต่ก็บังคับไม่ได้ จะเลือกให้ได้ยินหรือเห็น หรือคิดนึกก็ไม่ได้ทั้งสิ้น แล้วแต่การสะสมที่จะทำให้มีปัจจัยพร้อมที่สภาพธรรมใดจะเกิดก็เกิด คือ ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง ที่เคยไม่รู้ และเคยยึดถือว่าเป็นเรา จนกว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นว่า เป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ถ้าเราเข้าใจรายละเอียดของวิถีจิตว่า เริ่มต้นตั้งแต่อาวัชชนะไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ก็จะทำให้เราเห็นว่าเป็นอนัตตาอย่างไร เพราะเกิดดับ ไม่มีใครบังคับบัญชา ก็เป็นอย่างนั้น

    สุ. ขณะนี้เห็น แล้วก็ได้ยิน ก็ไม่รู้ แต่ฟังรู้ว่า เมื่อมีสิ่งที่กระทบจักขุปสาท แล้วจิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็ปรากฏ แล้วดับไป อันนี้ไม่รู้เลย และเวลาที่ได้ยินจะเกิดขึ้น ก็ต้องมีเสียงกระทบโสตปสาท และจิตได้ยินเกิดขึ้น เสียงจึงปรากฏ อันนี้ก็ไม่รู้เลย คือ ไม่รู้ทั้งนั้นเลย ถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป สั้นมาก และหมดไปเลย ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นก็เต็มไปด้วยความไม่รู้ ไม่ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สืบต่อเร็วมาก จนกระทั่งไม่รู้ว่า ไม่มีอะไรเหลือเลย ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่เมื่อกี้นี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสียง หรือสิ่งที่ปรากฏ หรือร้อน หรือเย็น ที่ปรากฏแต่ละทาง ก็มีอายุที่สั้นมาก เพราะฉะนั้นจากไม่รู้อะไรเลย หลับสนิท ก็ตื่นขึ้นมารู้แต่ไม่สามารถเข้าใจถูก เห็นถูกว่าเป็นธรรม มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น รู้ว่าขณะนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น แต่ไม่เคยเข้าใจว่า แท้ที่จริงก็เป็นธรรมทั้งหมด ทั้ง ๒ อย่าง ไม่มีเราเลย และเวลาที่หลับสนิทคืนนี้อีก ทุกอย่างก็ไม่เหลืออีก ตื่นขึ้นมาอีก ก็เป็นวิถีจิตอีก อย่างนี้ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีอะไรเหลือเลย เข้าใจถูกหรือเข้าใจผิด ถ้าเข้าใจอย่างนี้

    ผู้ฟัง ธรรมนิยามของจิตก็เป็นอย่างนี้

    สุ. ค่ะ จนกว่าจะรู้ว่า กำลังเห็นขณะนี้เป็นธรรมที่ต่างกับขณะที่กำลังคิดนึก ต่างกับเสียง ต่างกับได้ยิน ทั้งหมดเป็นธรรม และเมื่อไรจะรู้อย่างนี้ ข้อสำคัญคือไม่ใช่ให้ไปเฝ้ารอคอยด้วยความหวัง เมื่อไรจะประจักษ์แจ้งความจริง แต่ต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น เพราะว่าการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญา ที่สามารถเข้าใจถูก เห็นถูกแม้กำลังฟัง และมีสิ่งที่ปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นเรื่องของปัญญาโดยตลอด ไม่ใช่ใครที่ไม่มีปัญญาเลย แล้วสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นในการเรียน เราต้องเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ไปท่องว่า อาวัชชนะ วิญญาณจิต สัมปฏิจฉันนะ อะไรอย่างนี้ เรียงไปเรื่อย ซึ่งเราต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ทำกิจอะไร เป็นชาติอะไร มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นธรรมจริงๆ อย่างไร

    สุ. ค่ะ ธรรมเกิดดับสืบต่อ ไม่ต้องท่อง แต่เข้าใจ และจำ โดยที่ไม่มีเราที่อยากจำ หรือไม่อยากจำ แต่ก็มีเหตุปัจจัยที่จะจำ ก็จำ

    ก็รู้ว่า จิตไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ละขณะก็เกิดขึ้นทำกิจแต่ละอย่าง เราสามารถจะรู้กิจไหน

    ผู้ฟัง เราก็ต้องศึกษาให้เข้าใจว่า วิถีจิตเป็นอย่างไร และละเอียดอย่างไร เพื่อทำให้เราเข้าใจธรรมมากขึ้น

    สุ. ค่ะ สิ่งที่ทุกคนรู้ตามความเป็นจริง คือ รู้ตัวเองว่า มีความไม่รู้มากแค่ไหน แต่ก่อนนี้จะคิดว่า ไม่มากเท่าไร แต่ทั้งๆ ที่สภาพธรรมที่มีลักษณะจริงๆ กำลังปรากฏ ไม่รู้ตามความเป็นจริง

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องฟังหรือเปล่า พิจารณาไตร่ตรองหรือเปล่า จนกว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเพียงปรากฏแล้วหมดไป ตัวสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่รู้เลยว่า ใครกำลังเห็น ไม่ได้จงใจอยากให้ใครเห็น ก็เป็นธาตุหรือธรรมชนิดหนึ่งซึ่งมี แล้วแต่ว่าจะเกิดจิตเห็นเมื่อไร จิตเห็น ก็ไม่ได้เห็นอย่างอื่น แต่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏชั่วขณะเท่านั้นเอง ฟังเพื่อให้รู้ว่าไม่มีเรา จริงๆ ไม่มีเลย มีแต่ธรรม

    ผู้ฟัง เราจะทราบเองว่า เราเข้าใจหรือเรามัวไปจำชื่อ

    สุ. ไม่มีเรา แต่มีปัญญา ถ้าเป็นปัญญาต้องเห็นถูก เข้าใจถูก

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ความเป็นเราหนาแน่นแค่ไหน ลึก และยากที่จะละ เพราะฉะนั้นทั้งหมดของคำถาม ก็คือเรา แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจ ก็คือเข้าใจ ขณะอื่นที่ไม่ได้ฟัง ไม่เข้าใจ เป็นโลภะ เป็นโทสะ ก็เป็นโลภะ โทสะ เป็นธรรม เวลาฟังอีกก็เข้าใจอีก นี่คือปกติ ไม่มีเราไปจัดการ หรือไปหาทางว่าทำอย่างไร ไม่มีทำอย่างไร มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วรู้ไหมว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นอริยสัจจะสำหรับผู้ที่สามารถประจักษ์แจ้งได้ และถ้าจะไม่ประจักษ์แจ้งสิ่งซึ่งที่กำลังปรากฏ จะไปรู้แจ้งอะไรคะ ลองหามาซิคะว่า จะไปรู้แจ้งอะไร ที่ไหน ทุกอย่างทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง เมื่อเราทราบรายละเอียดของสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาเลยมากขึ้น ก็จะเห็นว่าเป็นธรรมอย่างไร ปัญญาก็จะค่อยๆ รู้ว่า เป็นธรรมอย่างไร

    สุ. ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 352


    หมายเลข 12488
    25 ส.ค. 2567