ปัญญาที่มีกำลังจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า เบื่อหน่ายในการทำงาน เพราะมีความรู้สึกว่า งานทางโลกทำไปก็ไม่มีประโยชน์เลย ไม่ใช่สิ่งที่เราควรศึกษาหรือรู้ในชาตินี้ เกิดอาการอย่างนี้ขึ้นมาสลับ ถ้ามีโอกาสจริงๆ แล้ว ไม่น่าต้องแต่งงาน ไม่น่าต้องมีลูก ไม่น่าต้อง ... น่าจะศึกษาธรรม เพราะว่าทุกอย่างรู้ว่าเป็นสภาพธรรม แต่เป็นความทุกข์มาก ถ้าเราทำงานอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีเวลาที่จะศึกษาธรรมให้ละเอียด และเวลาก็เหลือน้อย และอายุก็เท่านี้ นอนหลับไป ไม่รู้วันไหนจะไม่ตื่น
สุ. ค่ะ ท่านวิสาขามิคารมารดาเป็นพระโสดาบันเมื่ออายุ ๗ ขวบ ตอนนั้นยังไม่ได้แต่งง่านค่ะ แต่ภายหลังก็แต่งงาน ตามการสะสม เพราะท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านไม่ใช่พระอนาคามี
เพราะฉะนั้นเราจะไม่รู้เลยว่า มีปัจจัยอะไรที่ชีวิตของแต่ละคนต่างกันไป แต่ว่าจากการสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ก็จะเริ่มเห็นประโยชน์ว่า อะไรมีประโยชน์กว่ากัน แต่ไม่ได้หมายความว่า ขณะที่คุณกนกวรรณเบื่อทำงาน จะเบื่ออย่างอื่นไปด้วย อาหารอร่อยๆ เบื่อไหม ไม่เบื่อ แต่เบื่องาน
ผู้ฟัง คือมีความรู้สึกว่า มาฟังธรรมวันอาทิตย์ได้วันเดียว เพราะภาระงาน และเมื่อไรจะรู้เรื่อง
สุ. ภาระงานเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง ภาระงานเป็นธรรมค่ะ
สุ. รู้หรือไม่รู้ดีกว่ากัน ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นชีวิตของคฤหัสถ์ตามความเป็นจริง คือ จะรู้เมื่อสิ่งนั้นเกิดแล้ว ถ้ายังไม่เกิดจะไม่รู้เลย กำลังเบื่องาน แต่ไปดูโทรทัศน์เรื่องนี้ดีกว่า ก็แสดงให้เห็นว่า เรายังไม่เข้าใจความเป็นธรรมแต่ละลักษณะตามความเป็นจริง จริงๆ แล้วไม่มีใครสามารถรู้ว่า ในแสนโกฏิกัป ในจิตแต่ละ ๑ ขณะ สะสมอะไรมามากน้อยแค่ไหน ผู้ที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ยังไม่ได้ฟังธรรมเลย อย่างท่านพระสารีบุตร ท่านพระพาหิยะ ก่อนที่จะได้ฟังธรรม ท่านสะสมปัญญาระดับถึงความเป็นพระอรหันต์เอตทัคคะ ถึงความเป็นอัครสาวกอย่างท่านพระสารีบุตร แต่ตอนที่ท่านยังไม่ได้ฟังธรรมเลย ท่านจะรู้ไหมว่า ท่านได้สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น แต่เมื่อสิ่งใดเกิดจึงรู้ถึงการสะสมที่ได้สะสมมาแล้ว
วันนี้ดูเป็นคนดี ไม่ได้โกรธใคร แต่ถ้ามีเหตุปัจจัยที่โกรธ จะรู้กำลังของความโกรธในขณะนั้นไหมว่า ถึงขนาดไหน เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่มีอะไรที่จะเกิดปรากฏ จะไม่สามารถรู้ถึงการสะสมที่สะสมมาในจิตแต่ละขณะ ในแสนโกฏิกัป ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายกุศล หรือทางฝ่ายอกุศลก็ตาม
เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่เกิด เช่น เบื่อ ขณะนั้นเป็นธรรม ถ้ายังไม่รู้ ก็ยังเป็นเรา เพราะมีเบื่อบ้าง ไม่เบื่อบ้าง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย
ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้นความรู้สึกที่บางครั้ง เหมือนกับว่าวันอาทิตย์มีความสุขมาก ได้นั่งฟังท่านอาจารย์ แล้วเกิดความรู้สึกว่า อยากจะมาฟังที่นี่ แต่ถ้าเป็นวันจันทร์ถึงเสาร์เป็นทุกข์มาก ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจใช่ไหมคะ
สุ. มีโอกาสฟังธรรม คิดถึงธรรมที่ได้ฟังด้วย ถ้ามีสัญญา ความจำที่มั่นคง ทุกอย่างเป็นธรรม แล้วถ้าขณะนั้นปัญญาไม่รู้ สิ่งนั้นหมดแล้ว ไม่รอ เพราะว่าเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้นสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่เกิดแล้วปรากฏ
เพราะฉะนั้นสติสัมปชัญญะ หรือสติปัฏฐาน ไม่ใช่ให้เราไปเลือกสถานที่ เหตุการณ์ สิ่งแวดล้อม หรือลักษณะของธรรมว่า ทางตานี่ไม่รู้หรอก จะไปรู้ทางหู หรือจะไปรู้ทางกาย นั่นคือความไม่รู้ และความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นกว่าจะดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้หมดสิ้น ไม่เกิดอีกเลย ก็ต้องเป็นปัญญาที่มีกำลังที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่สิ่งที่จะไปทำให้เกิดขึ้นรู้ แต่สิ่งนี้เกิดแล้ว ใช้คำว่า “ตามรู้” คือ รู้สิ่งที่เกิดแล้วนั่นแหละ ตามความเป็นจริง ถ้าเบื่อเกิดขึ้น ก็เป็นธรรม ปัญญาที่รู้ลักษณะที่เบื่อ ปัญญานั้นไม่เบื่อ แต่สภาพเบื่อนั้นมี และปัญญาสามารถเข้าใจถูกได้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา เป็นธรรม
เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงความอาจหาญ ร่าเริงจริงๆ ด้วยปัญญาที่เห็นถูก ก็ต้องเป็นการอบรม ซึ่งขอใช้คำว่า “ผจญ” อีกมาก กว่าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะจริงๆ
ทุกท่านมีเวลาไม่มาก เพราะเหตุว่าส่วนใหญ่แล้วชีวิตของเราก็เป็นไปในเรื่องอื่น แต่ถ้าเทียบกับการที่มีโอกาสฟังพระธรรม และมีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ก็จะรู้ได้ว่า ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน จนถึง ณ บัดนี้ และต่อไป เวลาที่จะมีโอกาสฟังจริงๆ พิจารณาจริงๆ และเริ่มเข้าใจพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ก็ไม่มากเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสสำหรับพุทธบริษัทที่จะได้สนทนาธรรม เพราะว่าในครั้งพุทธกาล ตอนที่มารทูลเชิญพระผู้มีพระภาคปรินิพพาน พระองค์ก็ตรัสว่า ตราบใดที่พุทธบริษัท ๔ ซึ่งก็หมายความถึงภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแตกฉานในพระธรรม ก็ยังไม่ปรินิพพาน ถึงแม้ว่าจะปรินิพพานไปแล้วค่ะ ก็เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททั้ง ๔ แต่ ณ บัดนี้ก็เหลือเพียง ๓ ที่จะมีการสนทนา เพื่อที่จะรักษาพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง มิฉะนั้นเราจะคิดถึงพระพุทธศาสนาตามความคิดความเข้าใจของเราเอง ต่างคนต่างคิด แต่ว่าตามความเป็นจริงพระธรรมที่ทรงแสดง ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพราะฉะนั้นการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังแต่ละคำที่ทรงแสดงในครั้งโน้น และได้จาริกสืบทอดมาจนถึงยุคนี้สมัยนี้ ก็เป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดในชีวิตแต่ละชาติที่จะได้บูชาพระคุณ ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ไม่ใช่เพื่อที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมเพียงพระองค์เดียว แต่เพื่อให้บุคคลอื่นมีโอกาสได้เข้าใจธรรมด้วย
เพราะฉะนั้นขอให้พิจารณาว่า ธรรมที่เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง หรือเป็นสิ่งง่ายๆ ซึ่งไม่ว่าเราจะไปอ่านด้วยตัวเอง ก็สามารถเข้าใจได้ แต่ว่าความจริงทุกคำที่ตรัส เป็นการทรงแสดงสภาพธรรมตามความเป็นจริง ตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นสูงสุด ตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียดที่สุด ที่ยากถ้าไม่ได้ฟังแล้ว ไม่มีทางที่นักปราชญ์หรือบัณฑิตคนไหนจะสามารถคิดเองได้
ที่มา ...