ธรรมกับกลัวโควิด 19 ตอนที่ 1
ธรรมกับกลัวโควิด ๑๙
ดี เจ บัญชร วิเชียรศรี ผู้ดำเนินรายการจิบกาแฟข้างสภา
สถานีวิทยุมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
สนทนากับอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
วันเสาร์ที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
ตอนที่ ๑
ดี เจ บัญชร อาจารย์สุจินต์ ในสังคมเราทุกวันนี้ ไม่ว่าจะสังคมโลกหรือว่าสังคมไทยก็ตาม เรามีความรู้สึกวิตกกังวล หวาดกลัว ต่ออะไรทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นรอบตัว แล้วเราไม่รู้ว่า มันคืออะไรแน่ แล้วก็มันจะไปจบตรงไหน อาจจะเป็นความเจ็บ ความป่วย ความตาย โดยเฉพาะในช่วงนี้ เราได้ยินโควิด ๑๙ ก็เป็นข่าวที่ดังไปทั่วโลก ทางภาคใต้ก็มีเหตุการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ ๓ จังหวัด คนไทยก็วิตกกังวล มาจากต่างถิ่นเวลามาในพื้นที่ภาคใต้ แม้แต่มาในหาดใหญ่ก็ยังกังวลว่า จะเจอเรื่องแบบนี้หรือเปล่า
แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว แม้แต่ชีวิตประจำวัน คดีอาชญากรรม อุบัติเหตุทั้งหลาย มันก็เป็นภัยที่แวดล้อมอยู่รอบตัวเราตลอดเวลาเลย ท่ามกลางความกลัวต่างๆ เหล่านี้ เราควรพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวของเราอย่างไร ในหลักธรรมทางพุทธศาสนา
ท่านอาจารย์ ความจริงที่สุด ก็คือว่า มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาไม่ให้เกิดขึ้นได้ไหม ในเมื่อเกิดแล้ว เห็นไหม แล้วต้องไตร่ตรองไปถึงต้นเหตุจริงๆ ว่าเราไม่ได้เข้าใจเลย ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครสามารถจะทำอะไรได้เลย นอกจากมีปัจจัยที่จะให้สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้ ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าความจริงลึกซึ้งที่ว่า ถึงจะมีภัย ไม่มีภัยอย่างไร ก็ต้องมีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก ห้ามไม่ได้ แค่นี้ยังห้ามไม่ได้ แล้วจะไปห้ามภัยอะไรได้ ในเมื่อมีปัจจัยที่จะเกิด ก็เกิด เกิดให้เห็นด้วยว่า ใครก็ทำอะไรไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้ เพียงแต่ว่าถ้าเข้าใจความจริง ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิด หรือเราต้องการ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแหละ มีเหตุที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น และตัวอย่างก็ชัดเจนทุกสมัย
ถ้าไม่มีโควิด เราก็ไปคิดถึงเรื่องอื่น แล้วก็ลืมเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น ใครทำให้เกิดได้ ไม่มีใครสักคนหนึ่ง แต่ว่าเกิดแล้วต่างหาก แล้วเราก็ต้องรู้จริงๆ ว่า ใครจะรู้ซึ้งถึงเหตุ ที่ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะต้องเป็นอย่างนี้
ดี เจ บัญชร การที่เรากลัวภัยอันตราย ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญ ถือว่าเป็นวิธีที่ถูกไหม
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางทำได้เลย จะหลีกเลี่ยงอย่างไร ถ้าจะใช้วิธีป้องกัน เขาก็ป้องกัน แต่ว่าคนที่จะป้องกันอย่างไร ถึงเวลาที่จะเกิดก็เกิดได้ ใช่ไหม เพียงแต่ว่าเราไม่ประมาท เพราะเรารู้เหตุที่แท้จริง ว่าแต่ละอย่างเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดอย่างยิ่ง ว่าทุกอย่างที่เราไม่รู้ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร พระองค์ทรงแสดงเหตุ ทั้งเหตุใกล้ และเหตุไกลอย่างละเอียด
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความรู้ เราก็จะกลัวไปหมดเลย ใช่ไหม อย่างวันนี้เรากลัวโรคนี้ แต่ว่าต่อไปข้างหน้า มีโรคอื่น เราก็กลัวอีก ใช่ไหม กลัวไปหมด เพราะไม่รู้ความจริงว่า เหตุที่จะให้เกิดสิ่งที่ดีก็มี เหตุที่จะให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีก็มี ทำไมเกิดขึ้นกับคนที่ดี เกิดขึ้นกับอีกคนไม่ดี ทำไมคนทั้งโลกไม่เป็น แต่ทำไมบางคนเป็น อย่างโรคนี้ก็ไม่ได้เป็นกันทุกคน ใช่ไหม และความกลัวต้องมีแน่นอน ตราบใดที่มีความรักตัว ใช่ไหม เกิดมานี่ก็กลัวไปหมด แต่กลัวน้อยกลัวมากก็แล้วแต่
ดี เจ บัญชร เวลาพูดถึงความไม่ประมาท สำหรับผม สำหรับคนทั่วไป ผมก็มองว่า ไม่ประมาทก็คือ เรารู้ว่า เราเห็นภัยอย่างที่เรากลัวๆ นี่แหละ กลัวอุบัติเหตุ กลัวอาชญากรรม กลัวโรคภัยไข้เจ็บ กลัวภัยพิบัติทางธรรมชาติ และผมก็หลีกเลี่ยงที่จะเจอมัน ผมถือว่าเป็นความไม่ประมาท
ท่านอาจารย์ คนที่เขาเป็นโควิด เขาหลีกเลี่ยงหรือเปล่า แต่เขาก็เป็นใช่ไหม หรือว่าเขาไม่ได้หลีกเลี่ยง เขาก็เป็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วมันก็มีเหตุที่เรามองเห็นใกล้ๆ ว่าถ้าปล่อยตัวไม่ระวังตัวเลย ก็มีทางที่จะเป็นไปได้ แต่เหตุไกลยิ่งกว่านั้นก็คือว่า คนที่ระวังตัวแล้ว ยังเป็นได้ เพราะอะไร และคนที่ไม่ระวังตัวอย่างนั้น แต่ถึงเวลาจะไม่เป็น ก็ไม่เป็น หรือเป็นกันทุกคน หรือคนที่กลัว ที่ระวังเท่านั้นที่ไม่เป็น และคนที่เป็น ไม่ระวังเท่านั้นหรืออย่างไร
ดี เจ บัญชร คนที่ระวังก็เป็น เท่าที่ผมได้ยินข่าวมา
ท่านอาจารย์ เพราะถึงจะระวังอย่างไร ก็เป็นได้ ถ้าถึงเวลาที่จะเป็น แต่ถ้าไม่ถึงเวลาจะเป็น อย่างไรก็ไม่เป็น แต่ว่าจะไม่เป็นเสียเลย เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าที่เกิดมา ก็คือเป็นแล้ว แล้วก็จะเป็นไปเรื่อยๆ ทุกขณะ ใช่ไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เป็นดี เป็นร้าย เป็นทุกข์ เป็นสุขต่างๆ เหล่านี้ ก็เป็นอย่างนี้แน่นอน ไม่มีการที่ว่าจะเป็นดีไปได้ตลอดเวลา ใช่ไหม หรือว่าการเป็นทุกข์ บางคนก็ทุกข์กาย แต่ใจก็ไม่เป็นทุกข์เลย บางคนก็ใจทุกข์มาก แต่กายไม่เป็นทุกข์เลย และทั้งหมดนี้ก็คือว่า ไม่รู้เหตุ ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้เหตุ ก็ไม่รู้ว่าเหตุอะไร ที่จะให้ผลที่ดีเกิดขึ้น เหตุอะไรที่จะให้ผลที่ไม่ดีเกิดขึ้น
ดี เจ บัญชร ถ้าฟังตามที่อาจารย์พูดแล้ว นึกตามไป โดยทั่วๆ ไปผมก็จะเหมือนกับว่า เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะว่าเหตุมันจะเกิด มันก็ต้องเกิดของมันอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปหลีกเลี่ยง หรือระมัดระวังอะไร มันเหมือนความประมาทด้วยไหมแบบนั้น
ท่านอาจารย์ เห็นไหม เริ่มคิดผิดแล้ว ตามความไม่รู้ ก็คือคิดว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร แต่คิดหรือเปล่า ว่าต้องทำดี ต้องเป็นคนดี เพราะว่าเป็นเหตุที่จะให้เกิดสิ่งที่ดี ถูกต้องไหม
ดี เจ บัญชร ถูก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราข้าม เราไปมองเหตุทั่วๆ ไป ป้องกันโรคหรืออะไรๆ แต่เหตุยิ่งกว่านั้นก็คือว่า สิ่งที่เป็นเหตุที่ดี อย่างไรๆ ผลก็ต้องดีแน่นอน และส่วนเหตุที่ไม่ดี จะทำอย่างไรก็ต้องไม่ดี ทำไมคนเราเกิดมา ยังไม่มีโรคโควิด ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น แต่พิการก็ได้ อะไรก็ได้ทุกอย่าง คิดว่าจะตายด้วยโรคนี้ ก็ไม่ใช่ แต่ตายด้วยโรคอื่นก็ได้ หรือไม่มีโรคอะไรก็ตายได้
เพราะฉะนั้นแต่ละคน ก็หวังแต่สิ่งที่ดี แต่ไม่รู้ว่าเหตุที่จะให้เกิดสิ่งที่ดีนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นเหตุมีมาตั้งแต่ยาวไกลมาก คือเหตุที่ดี จะต้องให้ผลที่ดีเสมอไป เหตุที่ไม่ดี ก็ต้องให้ผลที่ไม่ดีเสมอไป นี่ไม่ผิดใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ไม่ผิด
ท่านอาจารย์ แต่เราลืม เราคิดว่าถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ต้องทำอะไร ขณะนั้นที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็คือว่าไม่ดีแน่ เพราะเหตุคือ ไม่รู้ว่าควรทำดี
ดี เจ บัญชร หมายถึงว่า ถ้าคิดว่าไม่ต้องทำอะไร ปล่อยไป แปลว่าแม้แต่ทำดีก็ไม่ได้ทำ
ท่านอาจารย์ คิดผิด ปล่อยไป เห็นไหม ปล่อยไปก็ต้องไม่ดีไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ขณะที่ปล่อยไป ทำดีหรือเปล่า เห็นไหม แต่ถ้าทำดีก็ไม่ใช่ปล่อยไป อย่างเวลานี้มีโรคโควิด ใครๆ ก็ช่วยกัน ดูแลเอาใจใส่ซึ่งกัน และกัน ใช่ไหม ไม่มีการทุจริตเรื่องอะไรต่ออะไรต่างๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ค่อยๆ บรรเทาลงไปได้ แต่ถ้ามีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ไม่ดี
เพราะฉะนั้นจุดที่สำคัญที่สุดที่คนลืม ก็คือ ความดี ความชั่ว ซึ่งเป็นเหตุที่แท้จริง แต่เขามองไม่เห็น เขาไปคิดเพียงแค่ว่า จะป้องกันตัวเท่านั้น แต่ใจป้องกันหรือเปล่า ที่จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี
ดี เจ บัญชร ความดีหรือสิ่งที่ดีนี้ เราประเมินได้ด้วยอะไรบ้าง ผมเคยเห็นบางสิ่งบางอย่าง บางคนบอกว่านี่คือความดีของเขา ในขณะที่อีกคนหนึ่งที่มองไม่เหมือนกัน เขามองว่าไม่ใช่ ความดีของเขาเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความดีของคนที่ไม่เคยฟังพระธรรมเลย กับความดีของคนที่ฟังพระธรรม แล้วเข้าใจเหตุ และผล ก็ต้องต่างกัน ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเขาไม่ได้เรียนรู้เหตุที่แท้จริงเลย แม้แต่ว่าขณะนี้ แม้แต่เดี๋ยวนี้เอง ได้ยินเสียง บังคับได้ไหม ไม่ให้ได้ยิน
ดี เจ บัญชร ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกอย่าง เหมือนเกิดเองตามลำพัง แต่ความจริงไม่ใช่เลย เพราะว่าเสียงในป่าก็มี เสียงไกลๆ ก็มี ใช่ไหม เสียงในห้องก็มี คนละห้อง แต่เสียงที่ได้ยินต้องเป็นเสียง ซึ่งไม่ใช่เสียงอื่น แต่เป็นเสียงที่เฉพาะทำให้ได้ยินเสียงนั้นเกิดขึ้น จะเป็นเสียงดีหรือไม่ดี ละเอียดมากเลย ถ้าเราจะย่อยเวลาแต่ละขณะนี้ลงมาสั้นๆ เป็นเห็น เป็นได้ยิน เป็นคิดนึก เป็นอะไร เกิดดับสลับกันรวดเร็วมากทั้งวัน ไม่มีอะไรที่อยู่นิ่งหรือคงที่เลย แต่เราไม่รู้ เพราะว่าติดกันหมด จนกระทั่งมองไม่เห็นว่าอะไรเกิดขึ้น อะไรดับไป เพราะว่าต่อกันเร็วมาก เพราะฉะนั้นเมื่อสักครู่ เราคุยเรื่องนี้ แล้วเราก็เปลี่ยนมาคุยอีกเรื่องหนึ่ง เห็นไหม เรื่องอื่นหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นเรื่องโควิดก็เป็นเรื่องหนึ่ง ถ้าเรานอนหลับสนิท ก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไร แต่พอตื่นขึ้นมาก็กังวลด้วยความรักตัว แล้วแต่ว่ากังวลนั้น จะทำเพื่อตัวเอง หรือว่าจะทำเพื่อคนอื่น หรืออะไรอย่างนี้ ก็มีหลายสาเหตุ แต่ดิฉันคิดว่า ถ้าทุกคนมีความเข้าใจในความดี และทำดี ไม่กลัวอะไรเลย
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้นหมายถึงว่า ภัยที่แท้จริงที่เราควรตระหนัก ไม่ใช่ภัยที่คนทั่วๆ ไปกำลังรู้สึกอยู่ ณ เวลานี้ ว่ากลัวสิ่งนั้นที่เป็นปัจจัยภายนอกอย่างนั้นอย่างนี้ กลัวความเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนั้นหรือ
ท่านอาจารย์ เพราะว่าแต่ละคน กลัวกันทั้งนั้นเลย แต่ภัยจะเกิดขึ้นกับใครโรคนี้ ต้องสำหรับคนที่ภัยนั้นจะเกิดขึ้นกับเขา ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็เป็นกันไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับใคร ก็ต้องมีเหตุเฉพาะคนนั้นๆ แต่ละคนไป เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แต่ว่าทั้งหมดนี้ สามารถที่จะค่อยๆ ไตร่ตรอง แล้วก็เข้าใจว่าจริงๆ เรากลัวอะไร ตราบใดที่เราเกิดมาเป็นอย่างนี้ เราต้องกลัว คนไม่กลัวไม่มี ตั้งแต่เกิดมาก็กลัวแล้วใช่ไหม ไม่กลัวอะไรมาก ก็กลัวจิ้งจก ตุ๊กแก กลัวมด กลัวอะไร เห็นไหม ก็กลัว เพราะความกลัวยังมีอยู่ เพราะไม่รู้ความจริงว่ากลัวนั่นดีไหม กับไม่กลัว แต่เข้าใจสิ่งที่เรากลัวว่าคืออะไร
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เรากลัวจริงๆ คืออะไร
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว น่าจะกลัวความไม่รู้ความจริง ซึ่งขณะนี้ก็มี แต่ไม่รู้ จึงได้กลัว ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นหมดแล้ว เราพูดถึงเรื่องโควิด ๑๙ จบไปแล้ว จะกลัวอีกไหม จบแล้ว ใช่ไหม คนที่จะกลัวก็จะกลัวต่อไปอีก แต่คนที่ว่ามีเรื่องอื่นที่จะคิด เขาก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้แล้ว ทุกอย่าง คือความกลัวเกิด เพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว แต่ละหนึ่งขณะที่เกิด แล้วก็ปรากฎแตกต่างกันไปหลากหลาย คืออะไร ทำไมเกิดอย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างนี้ สำหรับประเทศนี้ คนนี้ เรื่องนี้ ทุกอย่างหมด เราไม่รู้เหตุที่จะให้เกิดขึ้น ฟังดูเหมือนกับว่า เราพูดเรื่องอะไรกัน แต่ความจริงเป็นสิ่ง ซึ่งถ้าทุกคนลองไตร่ตรอง ก็จะทนความกลัวได้ โดยที่ว่าถ้าจะเกิดก็ต้องเกิด ใช่ไหม ถ้าจะไม่เกิด ก็ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย แต่ว่าจะต้องมีเหตุ ที่จะทำให้ ทำไมสิ่งนี้เกิดขึ้นกับคนนี้ ทำไมสิ่งนี้เกิดขึ้นกับคนนั้น ต่างเหตุ ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ต่างๆ กันหลากหลายมาก
ดี เจ บัญชร ผมฟังที่อาจารย์สุจินต์อธิบายจับได้อยู่ ตรงส่วนหนึ่งก็คือ เวลาเรากลัวขึ้นมา แล้วเราก็หายกลัวไป แต่เราก็อาจจะกลัว ความกลัวเดิมนั้นขึ้นมาอีกได้ เป็นเกิดดับๆ อย่างนั้นหรือ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่มีอะไรที่ไม่ดับไปเลยสักอย่างเดียว คือดับที่เราเข้าใจว่าหมด แต่ความจริงสิ่งที่หมดที่เราใช้คำว่าดับ เพราะว่าไม่กลับมาอีกเลย ไปค้นหาที่ไหนก็ไม่ได้ อย่างเสียงเมื่อสักครู่นี้ แค่เมื่อสักครู่นี้ ต่อจากนั้นก็ไปหาที่ไหนอีกไม่ได้เลย เร็วไหม แล้วเราก็ลืมไปแล้วด้วย เพราะมีเสียงใหม่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปอีก เป็นอย่างนี้ปิดบังทุกขณะไม่ให้รู้ความจริง
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้นภัยที่แท้จริงคืออะไร
ท่านอาจารย์ กิเลส ความไม่รู้ พระอรหันต์ ท่านจะกลัวโรคโควิดไหม
ดี เจ บัญชร ถ้าตามที่ได้อ่านได้ยินมา ไม่กลัว
ท่านอาจารย์ ไม่มีกิเลสเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นไม่หวั่นไหวเพราะรู้ต้นเหตุจริงๆ ว่า เหตุที่ให้เกิดคืออะไร ถ้าเหตุมี และถึงเวลาที่จะเกิด ใครก็ยับยั้งไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการตาย ได้ลาภ เสื่อมลาภ หรือมีภัยต่างๆ หรืออะไรทั้งหมด ไม่มีใครไปยับยั้งได้เลย ถ้าพร้อมที่จะถึงเวลา ที่จะเกิดก็เกิดให้เห็นแล้ว
ดี เจ บัญชร ความกลัวเหล่านี้เป็นภัยอย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะว่าเราไม่รู้ความจริง ซึ่งถ้าพูดตอนนี้ ก็เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก แต่ว่าสามารถที่จะเข้าใจได้คือ ภัยที่เข้าใจผิดว่า มีเรา สิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรา แต่ความจริงถ้ารู้จริงๆ ไม่มีเรา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ไม่มีเรา ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ไฟก็มีปัจจัยเกิดขึ้น ลมก็มีปัจจัยเกิดขึ้น ไม่ว่าจะร้อน จะเย็น จะหวาน จะเค็ม จะตื่นเต้น จะดีใจทั้งหมด มีปัจจัยจึงเกิดขึ้น ถ้าไม่มีก็ไม่เกิด
เพราะฉะนั้นเราไม่รู้เลย ว่าสิ่งเหล่านั้นที่เกิดแล้วดับไปเป็นเราหรือสักอย่างเดียว พอเกิดมา ขณะที่เกิด หายไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย มีแต่ขณะต่อไปๆ จนกระทั่งจากโลกนี้ไป ไม่เหลือเมื่อไร จึงจะรู้ว่าแท้ที่จริง ไม่มีเราตั้งแต่เกิด เพราะว่าพอตายก็ไม่เหลือเลย เหมือนทุกๆ ขณะ เมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือถึงวันนี้ เมื่อสักครู่นี้ก็ไม่เหลือถึงเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้ยินสักคำหนึ่ง ก็ไม่เข้าใจความลึกซึ้ง เช่นว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สัพเพ ทั้งหลาย สัพเพ ธัมมา อนัตตา เปลี่ยนไม่ได้เลย แต่ทำไมเราไม่คิดว่านี้พ้นภัยแน่ ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง
เพราะสิ่งที่มีไม่ใช่เรา ดีก็เกิดขึ้นโดยมีเหตุ ชั่วก็เกิดขึ้นโดยมีเหตุ ผลของดีของชั่วก็เกิดขึ้นโดยมีเหตุ แล้วเราอยู่ตรงไหน ถ้าเรามีจริงๆ ก็ไม่ต้องตาย ใช่ไหม แต่นี่ตาย ทุกคนต้องตายหมดเลย แล้วเราไปอยู่ตรงไหนตอนนั้น
ดี เจ บัญชร การมีอยู่ในปัจจุบัน ให้ถือว่ามีอยู่จริงหรือ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิด จะมีไหม
ดี เจ บัญชร ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดก็มี ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ พอเกิดแล้วก็เลยยึดถือ สิ่งที่เกิดว่าเป็นเรา แต่สิ่งนั้นดับไปโดยเราไม่รู้เลย จิตขณะแรกที่เกิดอยู่ไหน
ดี เจ บัญชร ไม่ใช่จิตเดียวกับปัจจุบันหรือ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลย จิตแสนสั้น นี่เป็นสิ่งซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไร กว่าจะรู้สัจจธรรม ความจริง ถึงได้ทรงแสดงว่า สังขารธรรม คือ สิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นต้องดับไป สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าอนัตตาแล้วไม่เว้นเลย แต่สิ่งที่เกิดต้องดับ แน่นอน มีอะไรที่ยังเหลืออยู่บ้าง ลองคิด คำพูดเมื่อสักครู่นี้ จิตที่คิดเมื่อสักครู่นี้ แข็งปรากฏ แล้วเวลาเห็น แข็งหายไปไหน แล้วไม่กลับมาอีกเลย กระทบใหม่ก็ไม่ใช่แข็งเก่า
ดี เจ บัญชร ไม่เห็นจริงๆ
ท่านอาจารย์ ไม่เห็น เพราะว่าต้องฟังจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีแต่ละหนึ่ง เป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ไม่เห็นบอกว่าเป็นเราเลย ใช่ไหม แต่บอกว่าเป็นธรรม แต่ยึดถือธรรมทั้งสภาพที่เป็นจิต สภาพรู้ และรูปร่างกายทั้งหมด ว่าเป็นเราทั้งสองอย่าง เป็นของเราด้วย แต่ตรงไหนจะเป็นของเราได้ บังคับบัญชาไม่ได้เลย ไม่อยากให้เจ็บไข้ได้ป่วย ทำไมเจ็บเข่า ใช่ไหม แล้วอย่างไร ไหนของเรา ของเราเมื่อสักครู่นี้ไม่เจ็บ แล้วตอนนี้เจ็บมาจากไหน กลายเป็นเราเจ็บไปอีก พอรักษาหาย ที่เจ็บ ที่ว่าเป็นเราหายไปไหน ที่ว่าเป็นเราหายไปทั้งหมดเลย แต่ละหนึ่งๆ เห็นเมื่อสักครู่นี้ว่าเป็นเรา พอไม่เห็น เราที่เห็นเมื่อสักครู่หายไปไหน
เป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะฉะนั้นการที่จะฟังพระธรรม ต้องรู้ว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง ถ้าเข้าใจจริงๆ แล้ว ก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเป็นเหตุที่จะให้ทำแต่สิ่งที่ดี เพื่อผลที่ดีจะเกิดขึ้น ไม่ใช่ผลที่ไม่ดี
ดี เจ บัญชร ณ เวลาที่เราเจ็บ ณ เวลาที่เราสุข เวลาที่เรากลัว เวลาที่เราโกรธ หรือเวลาที่มีอารมณ์ทั้งหลายปรากฏก็ตาม เรารู้สึกว่ามันเจ็บจริง มันทุกข์จริง แล้วเราจะจัดการกับมันอย่างไร
ท่านอาจารย์ ยังไม่ไปถึงจัดการ เราเจ็บ ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ ถ้าเจ็บไม่เกิด จะมีเราเจ็บไหม
ดี เจ บัญชร ไม่มี
ท่านอาจารย์ คุณคงไม่ได้เจ็บอยู่ตลอดเวลา ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร แต่ว่าถ้าเหมือนอย่างเช่น ปวดฟัน ก็เจ็บอยู่ตลอดนานอยู่เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราคิดว่านาน แต่ความจริง ความเจ็บเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ไม่เปลี่ยน จึงทำให้ปรากฏว่านาน ถ้ายังเจ็บอยู่ป่านนี้เป็นไปได้ไหม ถ้ายังมีปัจจัยก็เป็นไปได้ แต่ไปหาหมอ ถอนฟันเสีย เจ็บหรือเปล่า ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า เห็นไหม เมื่อเจ็บเกิดขึ้น ไม่รู้ความจริงว่า เราไม่ได้ทำให้เจ็บเกิด แต่มีเหตุที่เจ็บเกิด แต่พอเกิดแล้ว เป็นเราเจ็บ เรากำลังจำได้ จำได้ เรื่องนั้นก็จำได้ เรื่องนี้ก็จำได้ แต่ไม่รู้หรอกว่า จำก็ไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่มีจำ ก็ไม่มีเราจำ แต่พอมีจำ ก็เป็นเรา
ทั้งหมดที่มี ยึดถือว่าเป็นเรา โดยอวิชชา ความไม่รู้ ถ้ารู้จริงๆ ก็รู้ตามความเป็นจริงว่า แต่ละหนึ่งขณะ แต่ละสิ่งที่ปรากฏให้รู้ ว่ามีจริง สิ่งนั้นต้องเกิด ซึ่งเราไม่ได้ไปทำให้เกิด เกิดแล้วก็ต้องหมดไป แต่ต่อกันเร็วสุดที่จะประมาณได้ เหมือนแสงไฟซึ่งสว่างอยู่ตลอดเวลา ใช่ไหม เพราะเราไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว แต่ละหนึ่ง ทันทีที่ดับ สิ่งอื่นก็เกิดซ้อนทันที ไม่ปรากฏการดับไปก่อนอันเก่า เพราะฉะนั้นความไม่รู้ ก็ลวงให้เห็นเป็นรูปร่างสัณฐาน หลับตา มีไหม
ดี เจ บัญชร ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ลืมตา
ดี เจ บัญชร เห็น
ท่านอาจารย์ เห็นไหม แล้วอย่างไร อะไรเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็แค่ปรากฏ แต่จำไว้หมดเลย เป็นคน เป็นดอกไม้ เป็นต้นไม้ เป็นอะไรทุกอย่าง เพียงแค่หลับตา ไม่มีสิ่งนั้นอีก ใครก็ไปทำให้มีไม่ได้เลย แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วว่าเพราะดับ แล้วก็พอลืมตา ใหม่แล้ว ไม่เหมือนที่ก่อนจะดับ เป็นขณะใหม่ ไม่ใช่ขณะก่อน
(๒๑.๑๗-๒๒.๕๓) ชีวิตก็ดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะ เกิดดับไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นความตายที่ทรงแสดงไว้มี ๓ อย่าง ขณิกมรณะ ขะ-นิ-กะ มาจากคำว่าขะ-นะ ขณิกมรณะ ตายทุกขณะ เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น แต่เร็วจนไม่มีใครไปรู้ ก็เหมือนยังอยู่ตลอดเวลา สมมติมรณะ สมมติว่าตาย ก็คือ ตอนที่ไปปลงอะไร ไปเผากัน สิ้นชีวิตแล้ว คือ สมมติ ไม่ใช่ถึงที่สุดจริงๆ ก็คือตายแล้วเกิดทันที อันนี้ไม่มีใครรู้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความเป็นไปของจิต ที่เกิดดับสืบต่อโดยละเอียดอย่างยิ่ง ว่าแต่ละหนึ่งขณะต่างกันอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง หลากหลายมาก แต่แม้ว่าขณะนี้กำลังเกิดดับ เหมือนตาย แต่ก็ชั่วขณะก็เกิดอีก ก็เป็นขณิกมรณะ แต่ว่าสมมติมรณะ คือ ที่รู้กันว่าตายจริงๆ เอาไปเผา และ สมุจเฉทมรณะ คือ การปรินิพพาน หรือการตายของพระอรหันต์ ซึ่งไม่มีการเกิดต่ออีกเลย ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ยังต้องอยู่ ใช่ไหม เกิดต่อไป แต่นี่ไม่มีเลย พระสาวกที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ถึงเวลาปรินิพพาน ก็คือ เมื่อจิตขณะสุดท้ายจะไม่มีการเกิดต่ออีกเลย แต่สำหรับคนอื่นทั้งหมด นอกจากพระอรหันต์ ยังมีกิเลสที่ยังไม่ได้ดับหมด ก็เป็นปัจจัยให้ เมื่อตายแล้วเกิดทันที