ธรรมกับกลัวโควิด 19 ตอนที่ 2
ธรรมกับกลัวโควิด ๑๙
ดี เจ บัญชร วิเชียรศรี ผู้ดำเนินรายการจิบกาแฟข้างสภา
สถานีวิทยุมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
สนทนากับอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
วันเสาร์ที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
ตอนที่ ๒
ท่านอาจารย์ ชีวิตก็ดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะ เกิดดับไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นความตายที่ทรงแสดงไว้มี ๓ อย่าง ขะ-นิ-กะ มาจากคำว่าขะ-หนะ ขณิกมรณะ ตายทุกขณะ เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น แต่เร็วจนไม่มีใครไปรู้ ก็เหมือนยังอยู่ตลอดเวลา สมมติ สมมติว่าตาย ก็คือ ตอนที่ไปปลงอะไร ไปเผากัน สิ้นชีวิตแล้ว คือ สมมติ ไม่ใช่ถึงที่สุดจริงๆ ก็คือตายแล้วเกิดทันที ไม่มีใครรู้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความเป็นไปของจิต ที่เกิดดับสืบต่อโดยละเอียดอย่างยิ่ง ว่าแต่ละหนึ่งขณะ ต่างกันอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง หลากหลายมาก แต่แม้ว่าขณะนี้กำลังเกิดดับ เหมือนตาย แต่ก็ชั่วขณะก็เกิดอีก ก็เป็นขณิกมรณะ แต่ว่าสมมติมรณะ คือ ที่รู้กันว่าตายจริงๆ เอาไปเผา และ สมุจเฉทมรณะ คือ การปรินิพพาน หรือการตายของพระอรหันต์ ซึ่งไม่มีการเกิดต่ออีกเลย ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ยังต้องอยู่ ใช่ไหม เกิดต่อไป แต่นี่ไม่มีเลย พระสาวกที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ถึงเวลาปรินิพพาน ก็คือ เมื่อจิตขณะสุดท้ายดับ ไม่มีการเกิดต่ออีกเลย แต่สำหรับคนอื่นทั้งหมด นอกจากพระอรหันต์ ยังมีกิเลสที่ยังไม่ได้ดับหมด ก็เป็นปัจจัยให้ เมื่อตายแล้วเกิดทันที
ทรงแสดงไว้หมดเลยทุกอย่าง แต่เราไม่รู้ เราก็ยึดถือว่า เราเกิด เป็นเราไปเรื่อยๆ แล้วก็ตาย แต่หารู้ไม่ว่า ชาตินี้ คือ ชาติก่อนของชาติหน้า พอถึงชาติหน้าไม่รู้เลยเป็นคนนี้ เคยทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะว่าเป็นคนใหม่ เหมือนขณะนี้ เราก็ไม่รู้ว่าชาติก่อน ใครเป็นพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ทำอะไรไว้บ้าง สนุกสนานอย่างไร ก็จะเป็นคนนี้อยู่ได้ชั่วขณะที่ยังไม่ตาย แต่พอตายแล้วก็หมดความเป็นบุคคลนี้ หาอีกไม่ได้เลย ในสังสารวัฏฏ์
ดี เจ บัญชร พระอรหันต์ ท่านจำแนกความต่อเนื่อง ที่ละเอียดอ่อนนั้นได้ไหม
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ประจักษ์สัจจธรรมซึ่งเป็นอริยสัจจ์ ๔ ดับกิเลสไม่ได้ ฟังเท่าไร เข้าใจเท่าไร แต่ยังไม่ประจักษ์แจ้งสภาพที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ดับกิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสมีหลายระดับ ตั้งแต่หยาบ ปรากฏให้รู้ได้ อย่างกลาง และอย่างละเอียด ซึ่งนอนหลับก็มี แต่ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์หลับ กับโจรหลับ ไม่มีใครรู้ความต่าง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่สภาพของจิตต่างกัน
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่อง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงถึงที่สุด พิสูจน์ได้เลย ทำไมคนนี้ไม่เป็นโรคนี้ ทำไมคนอื่นเป็น เลือกได้ไหม
ดี เจ บัญชร ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก็แสดงชัดเจนว่า อนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้นคำว่า อนัตตา ก็หมายความว่า ไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่มีเรา เพราะเหตุว่าเป็นแต่ธรรม ซึ่งเกิดดับ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นสุดในแต่ละชาติ ก็เหมือนชาดก ที่ทรงแสดงพระชาติต่างๆ ของพระองค์ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้
ดี เจ บัญชร ความจริงที่อาจารย์สุจินต์กล่าวถึง ที่กล่าวว่า เพราะเราไม่รู้ความจริง ความจริงที่ว่านั้น คือ อะไร
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรจริง เห็นจริงๆ หรือเปล่า
ดี เจ บัญชร เห็น
ท่านอาจารย์ จริงไหม กำลังเห็นหรือเปล่า
ดี เจ บัญชร กำลังเห็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นต้องเกิด ถ้าไม่มีตา เห็นได้ไหม
ดี เจ บัญชร ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ มีตา แต่ไม่มีสิ่งที่มากระทบตา จะเห็นสิ่งนั้นไหม
ดี เจ บัญชร ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้นเอง ถูกต้องไหม
ดี เจ บัญชร เมื่อไม่ครบปัจจัย ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ที่ตรงแขนก็ไม่มีตา การเห็นก็ไม่ได้อยู่ตรงแขน แต่ที่ตา เราไม่สามารถเห็นรูป ของรูปที่สามารถกระทบกันได้ คือ ตาต้องมี และก็มีสิ่งที่กำลังกระทบตาด้วย ที่เห็นสิ่งนั้นต้องกระทบตา แต่อยู่ไหน ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง หาไม่เจอ รู้แต่ว่ากำลังเห็นสิ่งหนึ่ง แต่สิ่งนั้นอยู่ไหน
ดี เจ บัญชร ไม่ใช่สิ่งที่เราเห็น แล้วเราคว้าจับมันได้ตรงนั้นหรือ
ท่านอาจารย์ เวลาจับ จับอะไร
ดี เจ บัญชร จับวัตถุที่เราเห็น
ท่านอาจารย์ แข็ง ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร แข็งก็มี
ท่านอาจารย์ จับ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาได้ไหม
ดี เจ บัญชร จับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา จับไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก็แยกกันแล้ว แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา อยู่ที่แข็ง แต่ไม่ใช่แข็ง ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นต้น จะไม่มีสิ่งที่กระทบตาได้เลย แต่สิ่งที่กระทบตาได้ ไม่ใช่ตัวแข็งกระทบ แต่สิ่งที่ติดอยู่ที่แข็ง ที่เป็นสีสันวรรณะต่างๆ สามารถกระทบตาได้ และทำให้การเห็น จิตเห็น สภาพรู้เกิดขึ้นเห็น แล้วดับไปเลย คิดก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ แค่จะต้องเห็น เพราะกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อรับผลของกรรม
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ผมจับแล้วแข็ง มันมีไหม
ท่านอาจารย์ จับแล้วต้องแข็งแน่ๆ หรือไม่ก็อ่อน หรือไม่ก็เย็น หรือไม่ก็ร้อน หรือไม่ก็ตึง หรือไม่ก็ไหว ใช่ไหม อย่างจับลูกโป่ง กับจับน้ำ ก็ไม่เหมือนกัน ใช่ไหม น้ำ เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว แต่เราสมมติเรียกว่า น้ำ
ทั้งหมดนี้ต้องเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ แต่ต้องมั่นคง ที่จะเป็นคนที่ตรง ที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น ไม่แข็ง แต่มันอยู่ตรงแข็ง ตรงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แสดงไว้ละเอียดว่า ตรงนั้นมีรูปหลากหลายต่างกันกี่ประเภท ที่แยกจากกันไม่ได้เลย ไปแยกสีสันวรรณะ ที่กระทบตาออกจากแข็งก็ไม่ได้ ดอกไม้ก็แข็ง เก้าอี้ก็แข็ง หนังสือพิมพ์ก็แข็ง แต่แข็งไม่ได้กระทบตา แต่สิ่งที่อยู่ตรงแข็ง เป็นรูปสีสันวรรณะ เป็นอีกรูปหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แข็ง แต่อยู่ที่แข็ง ทรงแสดงไว้ละเอียดมาก ถึงชีวิตแต่ละขณะ แยกย่อยจนให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง พระองค์ตรัสรู้สิ่งที่มีจริง จึงใช้คำว่า ทรงตรัสรู้ธรรม ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรมหมด และตรัสรู้ด้วย
ดี เจ บัญชร สิ่งที่อาจารย์สุจินต์อธิบาย ผมนึกตามแล้วก็ อาจจะเรียกว่าเข้าใจได้บางส่วน แล้วก็มีความรู้สึกว่า ซับซ้อน ละเอียดอ่อนมาก ทำอย่างไรเราถึงเข้าใจสิ่งนี้ได้จริงๆ
ท่านอาจารย์ เริ่มรู้จักพระพุทธเจ้าแล้ว ใช่ไหม คำจริงอย่างนี้ ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ใครจะกล่าวได้ และละเอียดยิ่งกว่านี้มาก นี่เพียงไม่กี่คำ แต่ทรงแสดงถึง ๔๕ พรรษา แต่ละคำลึกซึ้งมาก แม้แต่คำว่า ธรรม ใครจะรู้ว่าหมายความถึง ทุกอย่างที่มีจริง หลากหลายมาก ก็ประมวลเรียก ธรรม สิ่งที่มีจริง ภาษาไทยใช้คำว่า สิ่งที่มีจริง ถ้าเราไปพูดที่เมืองอื่น ใช่ไหม อินเดียอย่างนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร
เพราะฉะนั้นภาษาที่พระองค์ตรัสในการแสดงความจริง ก็คือใช้คำว่า ธรรม การออกเสียงก็ต้องออกเสียงตามที่ถูกต้องด้วย แต่คนไทยจะออกเสียงคำภาษาบาลีไม่ตรง แต่ก็เข้าใจได้สำหรับคนไทย แต่ถ้าเป็นสากล เขาจะไม่รู้ เพราะเราออกเสียงไม่ถูกต้อง อย่าง ดัมมะ เราก็พูดว่าธรรม ใช่ไหม ดีเอช ก็เป็นภาษาไทย แล้วก็บอกธรรม
ดี เจ บัญชร ธ.ธง เสียงเถอะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ว่า ภาษาหรือเสียงที่บ่งให้รู้ว่า หมายความว่าอะไร สำคัญในภาษาของตนๆ เพราะฉะนั้นเราไม่กังวลว่า เราจะพูดเพี้ยน พูดผิดไปบ้าง ขอให้ได้เข้าใจว่า หมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือความเข้าใจถูก ด้วยเหตุนี้ภาษามคธี ซึ่งใช้เป็นภาษาที่ดำรงพระศาสนา คือ ปาละหรือปาลี ก็คือ ธรรม หมายถึง สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเลย เป็นธรรม
เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น อย่างเห็น ไม่มีใครไปจับต้องเห็นได้ เห็นเกิดขึ้นรู้ แต่ไม่รู้อื่นเลย รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เป็นแบบนี้ เฉพาะเท่านี้เอง แล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก ทำอย่างอื่นก็ไม่ได้ พอได้ยิน ไม่ใช่เห็นเลย รู้เฉพาะเสียง ที่กำลังกระทบหู ไม่ใช่เสียงอื่น แล้วก็ดับไป นี่คือ สิ่งซึ่งแสดงว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร พิสูจน์ได้ อย่างโควิด ๑๙ อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่เราไม่รู้ ว่าจริงๆ แล้ว คือ อะไร ถ้าไม่ได้ยิน คนหูหนวก ตาบอด จะรู้จักไหมว่าเรากำลังพูดถึงอะไร เขาก็ไม่มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องนี้เลย
เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งๆ คือ แต่ละโลก ซึ่งรวมกัน ปนกันจนกระทั่งเป็นโลกที่เต็มไปด้วยรูปต่างๆ เสียงต่างๆ กลิ่นต่างๆ รสต่างๆ ทำให้คิดนึกเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ ทรงแสดงถึงภาวะ ที่ธาตุรู้ประกอบด้วยอะไรบ้าง ที่มีหน้าที่หลากหลาย เช่น จำ ก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ก็ไม่ใช่เรา แล้วจะไปจำอะไร นอกจากสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่เห็นเลยจะจำได้ไหม ไม่ได้ยินเลย จะจำได้ไหม ก็เป็นเรื่องชีวิตทั้งหมดเลย ซึ่งเกิดมาถ้าได้รู้ ก็จะได้เข้าใจว่า อย่างนี้ทุกชาติเหมือนกันหมด เป็นสังสารวัฏฏ์ที่ไม่รู้จบสิ้น และก็เข้าใจผิดว่าเป็นเรา แต่เป็นธรรม
ดี เจ บัญชร ผมขออนุญาตยกตัวอย่างที่เพิ่งเจอมา เมื่อไม่นานนี้ เป็นเรื่องของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งผิดหวังจากความรัก คนที่เขารู้สึกว่าเขารักมาก ไม่รักเขาเหมือนเดิมแล้ว ไม่อยากจะอยู่กับเขาอีกแล้ว เขามีความทุกข์มาก ทุกข์จนรู้สึกว่าเรื่องอื่นๆ ไม่มีความหมายอะไรเลย คนที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ทำอย่างไรถึงจะให้ได้เข้าใจ หรือว่าจะให้เขาพ้นจากความทุกข์นั้น
ท่านอาจารย์ เขาไม่รู้เลย ว่าถ้าเขาไม่เคยเห็นคนๆ นี้ ความรักอย่างนี้จะมีไหม
ดี เจ บัญชร ไม่มี
ท่านอาจารย์ แต่เพราะเห็น ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ แต่เขาไม่รู้ว่า เห็นนั้นดับแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขามี คือความรัก รักสิ่งที่ไม่เหลือเลย หมดแล้ว แต่เพราะความไม่รู้ จึงเข้าใจว่ายังมีอยู่ เพราะยังหลงว่าสิ่งนั้นยังมีอยู่ จึงเป็นเหตุให้ติดผูกพัน ติดข้อง เพราะฉะนั้นความติดข้องมีจริงๆ ใครไม่มี พระโสดาบันยังมีเลย พระอนาคามีบุคคลอีกขั้นระดับหนึ่ง ถึงความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ที่ไม่มีความติดข้อง
เพราะฉะนั้นกิเลสแต่ละอย่าง กว่าจะดับได้ มันไม่ใช่เราทำอย่างไร จะเป็นอย่างไร แต่ความไม่รู้ นำมาซึ่งกิเลสทั้งหลายหมดเลยทุกประเภท ความสำคัญตน ความรักตน ความอยากหายจากความทุกข์ อะไรต่ออะไรทั้งหมด เพราะความไม่รู้ว่า เหตุมาจากอะไร ถ้าไม่ดับเหตุ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะให้สิ่งนั้นไม่มี
อย่างถ้าไม่มีเราจริงๆ ก็รู้แต่ว่า เพราะเราไปพอใจติดข้อง เพราะมันไม่ปรากฏการเกิดดับ แต่ถ้าปรากฏการณ์เกิดดับ เพียงเป็นพระโสดาบัน ก็ยังไม่สามารถที่จะละความรัก ความผูกพัน ความต้องการยึดมั่น ที่สะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ถ้าได้ทราบว่า กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์นานเท่าไร แม้จะได้รับคำพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าทีปังกร ว่าท่านสุเมธดาบส ซึ่งจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ อีก ๔ อสงไขยแสนกัป จะได้ตรัสรู้สิ่งที่เรากำลังได้ฟัง ก็จะเห็นได้เลย ใช่ไหม
ตราบใดที่ไม่ใช่ความรู้จริงๆ ประจักษ์แจ้งจริงๆ อริยสัจจะ ทุกขอริยสัจจะ ได้แก่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น และดับไป ถ้าไม่ประจักษ์อย่างนี้ เราก็ยังติดข้อง ฟังเท่าไรก็ยังเป็นสิ่งนั้นที่ยั่งยืนอยู่ แล้วจะไปบอกเขาว่า ไม่ให้ติดข้องได้อย่างไร เพราะเขาไม่ได้รู้ความจริง
ดี เจ บัญชร ไม่สามารถทำอะไรได้
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่เริ่มเข้าใจเสียวันนี้ เมื่อไรจะถึงวันนั้น ยากที่สุด ไม่มีใครที่ถึงความเข้าใจพระพุทธศาสนา แล้วจะบอกว่าไม่ยาก ไม่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี มาถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระคุณของพระธรรมแต่ละคำ ที่ทำให้เราได้เข้าใจ สิ่งซึ่งอยู่ในความมืดสนิท ต่อให้เห็นอย่างไร ก็ไม่ได้เห็นความจริงของสิ่งนั้น ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง จนในครั้งนั้น มีผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระอรหันต์กันก็มาก ถ้าไม่ถึงระดับนั้น ก็เป็นพระอนาคามี เป็นพระสกทาคามี เป็นพระโสดาบัน หรือเป็นกัลยาณปุถุชน ถึงแม้ว่าจะยังมีกิเลสอยู่ แต่ก็มีคุณความดีที่ได้เข้าใจพระธรรม ที่จะนำไปสู่การที่จะดับกิเลสได้
พระธรรมยังอยู่ แต่ว่าหนทางที่จะได้ถึงระดับที่คุณบัญชรต้องการ คือให้เขาพ้นทุกข์ ไม่ให้มีความรัก ไม่ให้มีความติดข้อง ต้องเป็นปัญญาระดับที่ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล นางวิสาขามิคารมารดา ที่ท่านเป็นเอตทัคคะ ทางให้ทานอุบาสิกา ท่านก็มีครอบครัว มีลูก มีหลาน ใช่ไหม กิเลสดับหมดทันทีไม่ได้เลย ต้องดับความไม่รู้ที่เกิดพร้อมกับความเห็นผิด ที่ยึดมั่นว่าเป็นเราเสียก่อน
เพราะฉะนั้นบางสิ่งบางอย่างทั้งๆ รู้ว่า ไม่ใช่ของจริง ก็ยังเป็นที่พอใจได้ เพชรเก๊ บางคนก็ชอบ ไข่มุกปลอม ใช่ไหม บางทีก็เหมือนจริงเลย จะไม่ชอบได้อย่างไร มันเหมือนอย่างนั้น แต่ก็รู้ว่ามันไม่จริง ก็ยังชอบ เหมือนกับถ้าได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมแล้ว แต่กิเลสที่สะสมมามากมายมหาศาล ยังไม่สามารถที่จะละความยึดมั่นได้ เพราะฉะนั้นใครจะหมดทุกข์ เพราะความรัก เพราะความติดข้อง เพราะยังอะไรอยู่ก็ตามแต่ ก็ต้องมีปัญญาถึงระดับนั้น
เพราะฉะนั้นจะช่วยเขา ก็คือว่า ให้เขาค่อยๆ เข้าใจความจริง ถ้าเขาอยากจะพ้นทุกข์ หรือใครก็ตามที่ต้องการรู้ความจริง แม้ว่ายังไม่อยากที่จะดับ ไม่มีการเกิดอีก แต่ให้รู้ความจริง เข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด ก็จะช่วยให้ชีวิต เป็นไปในทางที่เป็นสิ่งที่ดีงาม ไม่นำมาซึ่งความทุกข์แก่ตัวเอง และคนอื่น เพราะฉะนั้นโลกก็จะอยู่ได้สบายกว่านี้ ใช่ไหม ถ้าไม่มีทุจริต แม้ว่าจะมีโรคร้ายต่างๆ กำลังเบียดเบียนอยู่
(๑๗.๐๓-๒๓.๑๕) แต่จิตใจที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว และก็ช่วยเหลือกัน ดูแลซึ่งกัน และกัน ก็จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ตามสมควรแก่เหตุ
ดี เจ บัญชร ทำอย่างไรให้คนที่กำลังอยู่ในความทุกข์ เปิดใจฟังสิ่งเหล่านี้
ท่านอาจารย์ ต้องบอกเขา แล้วก็ดูว่าเขาสะสมมาไหม ที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรม แม้สักคำหนึ่ง บางคนคำเดียวก็ไม่เอา ไม่ฟังเลย เหมือนกับเสียเวลา เหมือนกับไร้ค่า แต่หารู้ไม่ว่า กว่าจะได้ยินคำนี้ ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่าอะไรชั่วอะไรดี และมีความมั่นคงที่ว่า จะหาทางที่จะให้ความไม่ดีที่มีอยู่ ไม่กำเริบ ไม่สามารถที่จะทำสิ่งซึ่งเป็นอันตรายทั้งกับตนเอง และคนอีกได้ ต้องฟังในเหตุผล
เพราะฉะนั้นจริงๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถ้าเราเริ่มสอนกันตั้งแต่ยังเด็ก เขาเริ่มเข้าใจได้ ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่มากมาย ไปให้เรียนหนังสือ มีอริยสัจธรรม แต่ว่าไม่ได้รู้อะไรเลย ได้แต่ชื่อ
ดี เจ บัญชร ผู้ที่สอนก็อาจจะไม่เข้าใจด้วยหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจ ทุกคำถูกต้องตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สอบทานได้ กับคำที่จารึกไว้เป็นพระไตรปิฎก และสิ่งที่กำลังปรากฏ ว่าต้องตรง
ดี เจ บัญชร ใครที่เราควรจะต้องกลัวจริงๆ หรือว่าเราจะผ่านความกลัวตรงนี้ได้ ก็คือ เรื่องของความไม่รู้ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเหตุว่าถ้ามีความไม่รู้ หรือรู้ผิด เข้าใจผิดทำลายความจริง ต้องขอโทษที่จะกล่าวถึงสำนักปฏิบัติไม่ทราบคุณบัญชรจะรับฟังไหม
ดี เจ บัญชร ได้ เชิญอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าในพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครไปที่ไหน เพื่อที่จะไปนั่งหลายชั่วโมง หรือว่าไปนอน หรือไปยืน แล้วรู้อะไร เพราะว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา กว่าจะได้ตรัสรู้ นานเท่าไรขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าทีปังกร พยากรณ์ท่านสุเมธดาบส ซึ่งจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ว่าอีก ๔ อสงไขย ท่านผู้นี้จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระสมณโคดม ชาวเมืองนั้นที่ได้ฟัง ปลาบปลื้มดีใจว่า ถึงแม้เขาจะไม่สามารถรู้แจ้งความจริงในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร ก็ยังมีสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ที่เขายังสามารถที่จะเข้าใจได้ ซึ่งกว่าที่สุเมธดาบส แต่ละชาติที่จะผ่านมาถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ได้เฝ้า ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ แต่เขาคอยได้ แต่คนสมัยนี้ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แล้วก็ไป แล้วก็ทำสิ่งที่ถูกบอกให้ทำ เข้าใจหรือเปล่า ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แล้วทำได้ ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ แล้วก็หวังว่าอะไร แต่ถ้าถามคนที่ทำแล้ว ทำแล้วได้อะไร สิ่งที่ตอบก็คือว่า สบายใจ สำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลย สำหรับคนที่ฟังธรรม ก็ไปหวังว่า จะประจักษ์การเกิดดับ จะหมดกิเลส จะได้รู้แจ้งสภาพธรรม เอามาจากไหน ฟังยังไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แล้วจะไปเอาปัญญาที่ไหน รู้สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังเกิดดับ โดยไม่ต้องไปไหน เพราะเป็นปัญญา
นี่ก็ต่างกันแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เป็นที่เริ่มรู้กัน ชาวพุทธ คือ ใคร หมายความว่าอะไร พุทธะคือปัญญา ถ้าไม่มีปัญญารู้ว่าความจริง คือ อะไรพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าอย่างไร เขาเป็นชาวพุทธหรือเปล่า เพราะพุทธะคือผู้รู้ นี่คือ เราต้องเป็นคนตรง และยอมรับความจริงที่จะแก้ไข เพราะเหตุว่าถ้าทำไปโดยไม่รู้ ผลก็คือไม่รู้ และความไม่รู้ก็นำมาซึ่งโทษนานาประการ
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้นการที่ไปชักชวนกัน ไปปฏิบัติ ไปตั้งสมาธิ ไปฟังธรรม เราไม่สามารถถือเป็นการเริ่มต้น ที่จะเรียนรู้พระพุทธศาสนาเลยหรือ
ท่านอาจารย์ สำนักปฎิบัติ ทำอะไร ไปแล้วทำอะไร
ดี เจ บัญชร ไปนั่งแล้วก็
ท่านอาจารย์ นั่งทำไม เดี๋ยวนี้ก็นั่ง
ดี เจ บัญชร ทำตามหลักการที่ท่านสอน
ท่านอาจารย์ ใครคือท่านสอน
ดี เจ บัญชร ครูสมาธิสอน
ท่านอาจารย์ ครูสมาธิคือใคร
ดี เจ บัญชร ตอบยาก
ท่านอาจารย์ เป็นพระ
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วก็ไปกัน เพราะฉะนั้นไปด้วยความไม่รู้ ผลก็คือไม่รู้
ดี เจ บัญชร เพราะเราไม่รู้ เราก็ถือท่าน เป็นครูผู้รู้
ท่านอาจารย์ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร
ดี เจ บัญชร เราไม่ได้ศึกษาพระธรรมอย่างเข้าใจได้ด้วยตัวเอง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นผิดไหม ถ้าเข้าใจด้วยตัวเอง
ดี เจ บัญชร ผิดไหม ถ้าเข้าใจด้วยตัวเอง
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องศึกษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งลึกซึ้ง
ดี เจ บัญชร ถ้าไม่ศึกษาคำของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่นับว่าเป็นพุทธศาสนา
ท่านอาจารย์ แน่นอน แล้วคนที่ไปสำนักปฏิบัติ ฟังคำอะไร ของใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครไปนั่ง ไม่ได้ให้ใครไปยืน ไม่ได้ให้ใครไปอดหลับอดนอน หรืออะไร อย่างนั้นใช่ไหม มีวิปัสสนาจารย์ท่านหนึ่ง คุณธวัลรัตน์ ตอนนี้ก็ไม่เป็นวิปัสสนาจารย์แล้ว เพราะเหตุว่าได้ค่อยๆ เข้าใจความจริง รู้เลยว่าผิดทั้งหมด เพราะว่าเวลาไม่รู้จะสอนอะไร ก็สอนให้คนที่ไปปฏิบัติถอนหญ้า แล้วรู้อะไร