ธรรมกับกลัวโควิด 19 ตอนที่ 3
ธรรมกับกลัวโควิด ๑๙
ดี เจ บัญชร วิเชียรศรี ผู้ดำเนินรายการจิบกาแฟข้างสภา
สถานีวิทยุมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
สนทนากับอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
วันเสาร์ที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
ตอนที่ ๓
ท่านอาจารย์ จิตใจที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว และก็ช่วยเหลือกัน ดูแลซึ่งกัน และกัน ก็จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ตามสมควรแก่เหตุ
ดี เจ บัญชร ทำอย่างไรให้คนที่กำลังอยู่ในความทุกข์ เปิดใจฟังสิ่งเหล่านี้
ท่านอาจารย์ ต้องบอกเขา แล้วก็ดูว่าเขาสะสมมาหรือไม่ ที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรม แม้สักคำหนึ่ง บางคนคำเดียวก็ไม่เอา ไม่ฟังเลย เหมือนกับเสียเวลา เหมือนกับไร้ค่า แต่หารู้ไม่ว่า กว่าจะได้ยินคำนี้ ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่าอะไรชั่ว อะไรดี และมีความมั่นคงที่จะหาทาง ที่จะให้ความไม่ดีที่มีอยู่ ไม่กำเริบ ไม่สามารถที่จะทำสิ่ง ซึ่งเป็นอันตรายทั้งกับตนเอง และคนอื่นได้
ต้องฟังในเหตุผล เพราะฉะนั้นจริงๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถ้าเราเริ่มสอนกันตั้งแต่ยังเด็ก เขาเริ่มเข้าใจได้ ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่มากมาย ไปให้เขาเรียนหนังสือ มีอริยสัจธรรม แต่ว่าไม่ได้รู้อะไรเลย ได้แต่ชื่อ
ดี เจ บัญชร ผู้ที่สอนก็อาจจะไม่เข้าใจด้วยหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจ ทุกคำถูกต้องตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สอบทานได้ กับคำที่จารึกไว้เป็นพระไตรปิฎก และสิ่งที่กำลังปรากฏว่าต้องตรง
ดี เจ บัญชร ภัยที่เราควรจะต้องกลัวจริงๆ หรือว่าเราจะผ่านความกลัวตรงนี้ได้ ก็คือ เรื่องของความไม่รู้ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเหตุว่าถ้ามีความไม่รู้ หรือรู้ผิด เข้าใจผิด ทำลายความจริง ต้องขอโทษที่จะกล่าวถึงสำนักปฏิบัติ ไม่ทราบคุณบัญชรจะรับฟังหรือไม่
ดี เจ บัญชร ได้ เชิญอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าในพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครไปที่ไหน เพื่อที่จะไปนั่งหลายชั่วโมง หรือว่าไปนอน หรือไปยืน แล้วรู้อะไร เพราะว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา กว่าจะได้ตรัสรู้ นานเท่าไร ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทีปังกร พยากรณ์ท่านสุเมธดาบส ซึ่งจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ว่าอีก ๔ อสงไขย ท่านผู้นี้จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระสมณโคดม ชาวเมืองนั้นที่ได้ฟัง ปลาบปลื้มดีใจว่า ถึงแม้เขาจะไม่สามารถรู้แจ้งความจริงในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร ก็ยังมีสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ที่เขายังสามารถที่จะเข้าใจได้ ซึ่งกว่าที่สุเมธดาบส แต่ละชาติที่จะผ่านมาถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ได้เฝ้า ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ แต่เขาคอยได้ แต่คนสมัยนี้ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แล้วก็ไป แล้วก็ทำสิ่งที่ถูกบอกให้ทำ เข้าใจหรือเปล่า ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แล้วทำได้ ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ แล้วก็หวังว่าอะไร แต่ถ้าถามคนที่ทำแล้ว ทำแล้วได้อะไร สิ่งที่ตอบก็คือว่า สบายใจ สำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลย สำหรับคนที่ฟังธรรม ก็ไปหวังว่า จะประจักษ์การเกิดดับ จะหมดกิเลส จะได้รู้แจ้งสภาพธรรม เอามาจากไหน ฟังยังไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แล้วจะไปเอาปัญญาที่ไหนรู้สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังเกิดดับ โดยไม่ต้องไปไหนเลย เพราะเป็นปัญญา
นี่ก็ต่างกันแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เป็นที่เริ่มรู้กัน ชาวพุทธ คือ ใคร หมายความว่าอะไร พุทธะคือปัญญา ถ้าไม่มีปัญญารู้ว่า ความจริง คือ อะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าอย่างไร เขาเป็นชาวพุทธหรือเปล่า เพราะพุทธะคือผู้รู้ นี่คือ เราต้องเป็นคนตรง และยอมรับความจริงที่จะแก้ไข เพราะเหตุว่าถ้าทำไปโดยไม่รู้ ผลก็คือไม่รู้ และความไม่รู้ก็นำมาซึ่งโทษนานาประการ
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้นการที่ไปชักชวนกัน ไปปฏิบัติ ไปนั่งสมาธิ ไปฟังธรรม เราไม่สามารถถือเป็นการเริ่มต้น ที่จะเรียนรู้พระพุทธศาสนาเลยหรือ
ท่านอาจารย์ สำนักปฎิบัติ ทำอะไร ไปแล้วทำอะไร
ดี เจ บัญชร ไปนั่งแล้วก็
ท่านอาจารย์ นั่งทำไม เดี๋ยวนี้ก็นั่ง
ดี เจ บัญชร ทำตามหลักการที่ท่านสอน
ท่านอาจารย์ ใครคือท่านสอน
ดี เจ บัญชร ครูสมาธิสอน
ท่านอาจารย์ ครูสมาธิคือใคร
ดี เจ บัญชร ตอบยาก
ท่านอาจารย์ เป็นพระ
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วก็ไปกัน เพราะฉะนั้นไปด้วยความไม่รู้ ผลก็คือไม่รู้
ดี เจ บัญชร เพราะเราไม่รู้ เราก็ถือท่าน เป็นครูผู้รู้
ท่านอาจารย์ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร
ดี เจ บัญชร เราไม่ได้ศึกษาพระธรรมอย่างเข้าใจได้ด้วยตัวเอง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นผิดไหม ถ้าเข้าใจด้วยตัวเอง
ดี เจ บัญชร ผิดไหม ถ้าเข้าใจด้วยตัวเอง
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องศึกษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งลึกซึ้ง
ดี เจ บัญชร ถ้าไม่ศึกษาคำของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่นับว่าเป็นพุทธศาสนา
ท่านอาจารย์ แน่นอน แล้วคนที่ไปสำนักปฏิบัติ ฟังคำอะไร ของใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครไปนั่ง ไม่ได้ให้ใครไปยืน ไม่ได้ให้ใครไปอดหลับอดนอน หรืออะไรอย่างนั้น ใช่ไหม มีวิปัสสนาจารย์ท่านหนึ่ง คุณธวัลรัตน์ ตอนนี้ก็ไม่เป็นวิปัสสนาจารย์แล้ว เพราะเหตุว่าได้ค่อยๆ เข้าใจความจริง รู้เลยว่าผิดทั้งหมด เพราะว่าเวลาไม่รู้จะสอนอะไร ก็สอนให้คนที่ไปปฏิบัติถอนหญ้า แล้วรู้อะไร
ดี เจ บัญชร ถอนหญ้า จะรู้อะไร
ท่านอาจารย์ นั่นสิ ก็เพราะเขาไม่รู้ไง แต่เขาเป็นวิปัสสนาจารย์ มีใบประกาศตั้งหลายใบ
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้น ที่ไหน ที่จะทำให้รู้คำของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
ท่านอาจารย์ พระธรรมได้แสดงไว้ครบถ้วน ทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม สอดคล้องกันทั้งหมด พูดถึงสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย แม้เดี๋ยวนี้ก็จริง และจริงตลอดไป
ดี เจ บัญชร คือ เรียนพระไตรปิฎก
ท่านอาจารย์ แน่นอน ศึกษาด้วยความเคารพ เพราะว่าเมื่อทรงตรัสรู้ ตรัสว่า ธรรมลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ นี่คือคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว แล้วเราไม่คิดถึงคำนี้เลย กว่าจะบำเพ็ญบารมี กว่าจะรู้ความจริง รู้ความจริงแล้วก็ตรัสคำนี้ ขณะที่ตรัส เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่กล่าวว่าไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง ไม่ใช่ว่าพระองค์จะไม่ทรงแสดง แต่ขณะที่ความลึกซึ้งอย่างนั้น ที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ทำให้รู้ถึงความลึกซึ้งว่า ยากที่จะรู้ได้ แต่คนที่รู้ได้ มี จึงทรงแสดงธรรม และพรหมก็ได้มาอาราธนาให้แสดงด้วย
ดี เจ บัญชร เมื่อเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก และเข้าใจได้ยาก เราจะทำความเข้าใจได้อย่างไร จากที่ไหน
ท่านอาจารย์ คุณบัญชรได้ยินคำว่า บารมี ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ได้ยิน
ท่านอาจารย์ แล้วหมายความว่าอะไร เห็นไหม แต่ละคำ เราไม่ได้คิดถึงความลึกซึ้งของคำนั้นเลย ปาระคือฝั่ง ปารมีคือถึงฝั่ง ฝั่งไหน ฝั่งนี้เต็มไปด้วยกิเลส กิเลสอยู่ที่ไหน อยู่ในใจ และกว่าใจจะสละกิเลสถึงอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีกิเลสเลย นานเท่าไร บารมีทั้งหมด ไม่ใช่ว่าไม่มีบารมี ไม่ฟังธรรม ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่มีวิริยะ ไม่มีความเพียร ไม่มีสัจจะ ความจริงใจ ไม่มีอธิษฐาน ความมั่นคง แน่วแน่ที่จะรู้ความจริง ทั้งหมดไม่มีเลย แล้วจะละความทุกข์ จะไปสำนักปฏิบัติ จะไปทำอะไร คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน พระองค์ตรัสเรื่องบารมีหรือเปล่า พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีเท่าไร จึงสามารถที่จะรู้ความจริงได้ แม้พระอัครสาวกทั้งหลาย พระมหาสาวกทั้งหลาย ต่างก็บำเพ็ญบารมีมาทั้งนั้น และคนสมัยนี้เข้าใจไหม เข้าใจอะไรสักคำไหม แต่ก็ชวนกันไปสำนักปฏิบัติ เพราะฉะนั้นนี่เป็นภัยหรือเปล่า
ภัยไม่ใช่แค่โรคนี้ ซึ่งไม่กี่วันก็อาจจะหายได้ หรือจะเป็นอย่างไร เท่าไร ก็ตามเหตุปัจจัย แต่ยังหายได้ แต่ ภัยคือความไม่รู้ จะหายไปได้อย่างไร สะสมมากขึ้นๆ เพิ่มขึ้น ถ้าไม่รู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมีมาเพื่อใคร ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อใคร เพื่อแสดงธรรม ที่พระองค์ตรัสรู้ กับคนที่สามารถเข้าใจได้ เพราะเขาคิดเองไม่ได้แน่ ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ดี เจ บัญชร พระพุทธศาสนา มีภัยไหม
ท่านอาจารย์ มี
ดี เจ บัญชร คือ อะไร
ท่านอาจารย์ ความเห็นผิด
ดี เจ บัญชร อย่างไร
ท่านอาจารย์ เห็นว่าพระพุทธศาสนาง่าย เห็นว่าไม่ต้องศึกษา เคยได้ยินไหม
ดี เจ บัญชร ไม่ต้องศึกษา
ท่านอาจารย์ ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง ต้องศึกษา เห็นไหมก็ต่างกันแล้ว คนที่ไม่ศึกษา ทำไมไม่ศึกษา คิดเอง จะมีปัญญาเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ สักคำเดียว ตอบไม่ได้เลย ธรรมคืออะไร ก็ตอบไม่ได้ อริยสัจจะคืออะไร อริยสัจธรรมด้วย ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด ธรรมมีทั้งกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม งานศพก็ได้ยินกันเสมอ ใช่ไหม กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา แล้วอย่างไร ใครฟัง ใครเข้าใจ ใครรู้ แล้วก็ไปสำนักปฏิบัติ เขาคิดว่าสามารถจะทำให้คนอื่นหมดกิเลสได้หรือ ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา มากกว่าใคร เกือบจะเรียกได้ว่า เกือบตลอดทั้งวัน เช้า สาย บ่าย ค่ำ ดึก เทวดามาเฝ้าทูลถามปัญหา ไม่อย่างนั้นเราไม่มีโอกาสได้ยินสักคำ ถ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่ทรงแสดงไว้
เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะกล่าวว่าอะไรก็ตามแต่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารธรรมทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ละคำต่างกัน ใช่ไหมสังขารธรรม สังขารธรรม แต่คำสุดท้ายไม่เว้นเลย คือ ธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสังขารธรรมหรือวิสังขารธรรม หรืออสังขตธรรม ทั้งหมดนี้เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่ง ที่จะแสดงให้ละเอียด เพราะรู้ว่าความไม่รู้ของคนสะสมมานานมาก นี่คือภัยใช่ไหม ที่ไม่รู้เลย ว่าอะไรเป็นอะไร จึงได้ทำสิ่งที่ไม่ดี ทุจริตทุกวงการ เพราะอะไร แล้วจะแก้ไขกันอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจความจริงก็แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ความจริง จะเป็นคนดีได้ไหม จะเว้นความชั่วได้ไหม
ดี เจ บัญชร ที่สุดแล้ว ภัยที่เกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา ถ้าถึงที่สุดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ท่านอาจารย์ ใช้คำว่า พระพุทธศาสนา หมายความว่า เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นภัยที่จะเกิดแก่พระพุทธศาสนา คือ ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการไม่ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ ที่จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และเคารพอย่างยิ่ง ที่จะต้องไตร่ตรองพระธรรมทั้งหมด แต่ละอย่าง แต่ละคำ ให้สอดคล้องกันทั้ง ๓ ปิฎก
ถ้ากล่าวว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ก็มีคนไปบอกว่า บางอย่างเป็นอัตตา พูดได้อย่างไร ในเมื่อพระองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา และก็มีคนบอกว่าบางอย่างเป็นอัตตา เขาเป็นใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร และความจริงลองพิจารณา อะไรถูกต้อง ใครบังคับบัญชาอะไรได้ ไม่ให้โกรธได้ไหม ไม่ให้ติดข้องได้ไหม ไม่ให้ทุจริตได้ไหม ไม่ให้เห็นได้ไหม กำลังได้ยินอย่างนี้ ไม่ให้ได้ยินได้ไหม เห็นไหม ไม่เข้าใจในความเป็นอนัตตาของทุกอย่าง ซึ่งเกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัยที่เหมาะสมเท่านั้น ถ้าไม่มีปัจจัยที่สมควร ก็เกิดไม่ได้ ไม่มีตา จะให้ไปทำอย่างไรให้เห็น ไม่มีทาง หรือมี
ดี เจ บัญชร ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไปหาหมอวิเศษ คิดว่าจะทำได้ ถ้าไม่มีกรรม ที่จะทำให้จักขุปสาทเกิดขึ้น ใครก็ทำไม่ได้ เพราะแม้แต่รูป สิ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไรเลย เป็นรูปธรรม บางรูปเกิดจากกรรม บางรูปเกิดจากจิต บางรูปเกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อน บางรูปเกิดจากอาหาร นี่เป็นเหตุที่สัตว์โลกอยู่ได้ด้วยอาหาร ที่กลืนกินเข้าไป นั่นก็เป็นอาหารหนึ่ง แต่ยังมีอาหารอื่นอีก
ดี เจ บัญชร ดูเหมือนคำตอบของท่านอาจารย์สุจินต์ ก็มีอยู่ในตัวแล้ว ว่าภัยที่ทำให้เราไม่รู้ ไม่รู้แม้แต่พระพุทธศาสนา ถ้าจะหาทางออก ถ้าจะป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น เราต้องศึกษาพระธรรมให้ครบถ้วน
ท่านอาจารย์ ศึกษาครบด้วยความเคารพ ที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วช่วยกันทะนุบำรุงคำสอน ที่ถ้าอันตรธานแล้วก็อีกนานแสนนาน ยากที่จะมีการได้ยิน ได้ฟังอีกในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด แต่ถ้าเรามีสำนักปฏิบัติ หรือว่ามีการศึกษาโดยคนโน้นเป็นผู้บอกอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าไม่ใช่สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว นั่นคือการทำลายคำสอนของพระองค์ เป็นภัยไหม
ดี เจ บัญชร เป็นภัย
ท่านอาจารย์ และก็ทุกอย่างเลย ไม่มีภัยอะไรเท่ากับความไม่รู้ เพราะว่าทุกคนอยากดี อยากสุข อยากสบาย แต่ไม่รู้ ก็ทำเหตุที่ไม่ดี มีโรคภัยต่างๆ เกิดขึ้นทั่วโลก และจะกันอย่างไร จะแก้อย่างไร ถ้าเป็นสิ่งที่เกิดจากอุตุ แก้ได้ไหม ใช่ไหม ก็มีการศึกษาวิชาการต่างๆ แต่สิ่งที่ใครไม่สามารถที่จะรักษาได้ ก็คือกรรม ถ้าเป็นกรรมชั่ว ทำอย่างไรก็จะให้ผลที่ดีไม่ได้
ดี เจ บัญชร ถ้าเป็นกรรมดี ก็จะดี
ท่านอาจารย์ ใครจะห้ามไม่ให้ผลดีเกิดก็ไม่ได้ เราก็เห็นกันอยู่ ใช่ไหม เกิดมาหลากหลายต่างกันทุกอย่าง รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ฐานะ ยศถาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศ ความรู้ ทุกประการหมดเลย ไม่ซ้ำเลยสักหนึ่ง แม้ในคนๆ เดียว นี่คือความละเอียดอย่างยิ่งของธรรม จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับแล้วไม่ได้ซ้ำกับขณะต่อไปที่จะเกิด ปัจจัยที่ปรุงแต่ง จากการที่จิตนั้นเกิด แล้วเห็นอะไร รู้อะไร คิดอะไรอย่างนี้ สืบทอดไปถึงจิตขณะต่อไป
เพราะฉะนั้นจึงมีวิชาการต่างๆ ทางโลกมากมายมหาศาล ไม่รู้จบ แต่ทางธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง กว่านั้นมากมาย และก็ไม่ศึกษาเลย เพราะฉะนั้นนับวันก็จะหมดไป ถ้าไม่มีการรักษาไว้ ด้วยความเคารพ คือ ต้องเป็นผู้ตรงต่อความจริง และต่อคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ เพราะได้ตรัสรู้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครที่จะรู้ยิ่งกว่าพระองค์ ในสากลจักรวาล มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เพียงครั้งละหนึ่งพระองค์เท่านั้น
ดี เจ บัญชร สาธุ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้สนทนากับอาจารย์ แล้วก็ได้รับความรู้ ความคิดเพิ่มเติม ซึ่งก็มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ต้องไปพิจารณาต่อ ไปศึกษา ไปเรียนรู้ต่อ เหมือนที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเรื่องของการศึกษาพระธรรมอย่างเคารพ แล้วก็ศึกษาให้ครบถ้วน ทั้ง ๓ ปิฎก
ท่านอาจารย์ เพราะถึงอย่างไร ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป จะด้วยโรคที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ขณะนี้หรือไม่ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ก็ต้องตายกันทุกคน แล้วก่อนตายเราจะไม่มีอะไรที่จะไปถึงชาติต่อไป ที่เป็นคุณความดี และความเข้าใจถูกต้องหรือ ในเมื่อมีโอกาส มัวแต่กลัวอย่างอื่น ใช่ไหม แต่ไม่กลัวความไม่รู้ ลองเทียบกันดูแล้ว ความไม่รู้น่ากลัวกว่าเท่าไร
ดี เจ บัญชร จริง ความไม่รู้ ผมไม่ได้ยินใครพูดถึง ความกลัวความไม่รู้
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ก็ไม่กลัว
ดี เจ บัญชร ในขณะที่กลัวทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลา กลัวความมืด กลัวผี กลัวจน กลัวเจ็บ กลัวอาย แต่ไม่ได้ยินใครพูดว่า กลัวความไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะพ้นจากโทษภัยต่างๆ ได้ไหม ในเมื่อไม่รู้
ดี เจ บัญชร ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นโลกก็เป็นอย่างนี้ เท่าที่เราเห็น เพราะฉะนั้นพระธรรม คือ ความเข้าใจ ความรู้ เป็นประโยชน์ทั้งกับตนเอง และผู้อื่นด้วย ประโยชน์แค่ไหน
ดี เจ บัญชร ประโยชน์ ประโยชน์ทั้งมวล
ท่านอาจารย์ ตนเอง และกับคนอื่นด้วย
ดี เจ บัญชร ก็คือทุกคน
ท่านอาจารย์ ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ ก็ประโยชน์มหาศาล
ดี เจ บัญชร ท้ายที่สุด อาจารย์สุจินต์จะบอกถึงพุทธศาสนิกชน ว่าอย่างไรบ้าง
ท่านอาจารย์ เป็นผู้ตรงๆ พุทธะ คือ ผู้รู้ รู้สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง เพื่อให้เราได้มีความเข้าใจ จากสิ่งซึ่งเราไม่สามารถที่จะคิดเองได้เลย เพราะฉะนั้นการศึกษาแต่ละคำ ต้องละเอียดลึกซึ้ง แล้วก็ต้องเข้าใจโดยตลอด ถ่องแท้ทั้ง ๓ ปิฎกที่สอดคล้องกันด้วย ไม่ใช่ยุคนี้ สมัยนี้ พระรับเงินได้ ได้อย่างไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้วทุกประการ ว่าชีวิตที่ละเพศคฤหัสถ์ สละแล้วจากความสุข สนุกสนาน อย่างเพศคฤหัสถ์ แล้วจะกลับไปรับเงินทองได้อีกหรือ เพราะเหตุว่าการบวชเป็นพระภิกษุ บรรพชา หมายความว่า สละทั่วทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นถ้าได้ศึกษาพระวินัยจริงๆ จะรู้ว่าเป็นไปเพื่อการขัดเกลา เพราะเห็นโทษของความไม่รู้ และกิเลส นั่นคือสาวก ท่านใช้คำว่า เป็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เกิดจากพระอุระ จากปัญญา ความรู้ของพระองค์ ซึ่งสามารถที่จะให้คนอื่น สามารถเห็นคุณประโยชน์ ของการที่จะสละเพศคฤหัสถ์ สู่เพศที่มุ่งที่จะศึกษาพระธรรม และอบรมเจริญปัญญา เพื่อขัดเกลากิเลส ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งกับตนเอง และคนอื่น และโลกด้วย แต่นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่สำหรับทุกคน เพราะว่าคฤหัสถ์ก็จะไม่มีอัธยาศัย ที่จะไปมีชีวิตอย่างบรรพชิต สามารถเข้าใจธรรม เป็นพระโสดาบัน อย่างหมอชีวกโกมารภัจจ์ คฤหัสถ์ในครั้งนั้นก็เป็นพระอริยบุคคลกันมากมายหลายท่าน แล้วก็สามารถที่จะรู้ความจริง ถึงความเป็นพระอนาคามี ยังคงอยู่ในเพศคฤหัสถ์ได้ ต่อเมื่อไร บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว จะไม่ครองเรือน จะต้องสละเพศคฤหัสถ์ สู่เพศบรรพชิต
เพราะฉะนั้นผ้ากาสาวพัสตร์ ซึ่งเป็นเพศบรรพชิต คือ เครื่องหมายของพระภิกษุที่เป็นอรหันต์ แต่ถ้ายังไม่เป็น ก็ศึกษาเพื่อขัดเกลากิเลส ทั้งๆ ที่เป็นฆราวาส คฤหัสถ์ก็ศึกษาได้ แต่ต้องเป็นไปตามอัธยาศัย คือ เหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทจึงมี ๔ ในครั้งโน้น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แต่ในยุคนี้ โดยที่พระองค์ทรงเห็นว่า ผู้หญิงไม่เหมาะที่จะเป็นเพศบรรพชิต แต่ในครั้งนั้นเมื่อท่านพระอานนท์ทูลขอว่า ผู้หญิงสามารถที่จะบรรลุคุณธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ ในกาลนั้น ก็ทรงอนุญาต แต่เคร่งครัดมาก ในการที่จะให้เป็นพระภิกษุณี จนกระทั่งพระภิกษุณี ก็ค่อยๆ หมดสิ้นไป ด้วยการยากลำบาก ต่อการที่จะบวชเป็นภิกษุณีได้
ยุคนี้สมัยนี้ พุทธบริษัทก็คือ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ถ้าเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา พุทธะ คือ ผู้รู้ รู้ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และทรงพระมหากรุณาแสดงธรรม ให้เราได้เริ่มเข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพื่อดำรงพระธรรมไว้ เพื่อต่อๆ ไป ไม่ใช่แต่เฉพาะในยุคนี้สมัยนี้ ตราบเท่าที่พระศาสนาจะดำรงอยู่ได้ เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง และคนอื่น และชาวโลก น่าเสียดายถ้าจะไม่มีใครศึกษา พระศาสนาก็อันตรธาน
ดี เจ บัญชร กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์มากครับ
ท่านอาจารย์ ขอบคุณค่ะ