ปีใหม่คืออะไร
อ.คำปั่น เมื่อวานได้ฟังการสนทนาที่ อ.ทวีศักด์ สนทนากับท่านอาจารย์ เรื่อง "ธรรมกับปีใหม่" ขอโอกาสกราบเรียน อ.อรรณพ เพื่อความเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น ในความเป็นจริงของธรรม ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวช่วงต้นว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมะ จะไม่รู้จักอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ปีใหม่ ที่บอกว่า แล้วปีใหม่คืออะไร อะไรเป็นปีใหม่ จากคำกล่าวอย่างนี้จะเกื้อกูลให้เข้าใจในความเป็นจริงของธรรมะอย่างไร ถ้าได้ฟังอย่างนี้แล้วว่า ถ้าไม่รู้จักธรรมะเลย ก็จะไม่รู้จักอะไรเลย รวมถึงปีใหม่ด้วย ความเข้าใจนี้ คืออย่างไร?
อ.อรรณพ เป็นสิ่งที่ก็คิดเหมือนกันครับ ที่ได้รับฟัง เมื่อวันที่ ๑ เมื่อวาน ถ้ายังไม่ต้องพูดปีเก่า ปีใหม่ ถามว่า ตอนนี้มีสิ่งที่มีจริงไหม เดี๋ยวนี้มีอะไร เดี๋ยวนี้คืออะไร ถ้ารู้ว่าเดี๋ยวนี้คืออะไร ก็รู้ว่าปีใหม่คืออะไร ปีเก่าคืออะไร อะไรคืออะไรนั้น คำตอบที่ตรงที่สุดคือเดี๋ยวนี้คืออะไร
ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ก็มีเห็น แล้วการจะเข้าใจว่าปีใหม่คืออะไร?
อ.อรรณพ เดี๋ยวนี้มีเห็น เห็นก็คือเดี๋ยวนี้ ได้ยินคือเดี๋ยวนี้หรือไม่ ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ที่ได้ยิน ก็มีใช่ไหม เดี๋ยวนี้ที่ได้ยิน เดี๋ยวนี้ที่ได้กลิ่น เดี๋ยวนี้ที่ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบทางกาย แล้วเดี๋ยวนี้ที่คิด เดี๋ยวนี้ที่จำ เดี๋ยวนี้ที่อะไรมากมาย ใช่ไหม ก็เป็นเดี๋ยวนี้ในแต่ละขณะของธรรมะเดี๋ยวนี้ แต่ละขณะๆ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีจิตที่คิด จะมีปีใหม่หรือไม่
ผู้ฟัง ถ้าไม่มีจิตที่คิด ก็ไ่ม่มีปีใหม่
อ.อรรณพ ที่ชาวโลกสมมติกันว่า เป็นปี ๒๕๖๕ ที่ผ่านไปแล้ว ขณะนี้เป็นเริ่มต้นปี ๒๕๖๖ ปฏิทินก็เปลี่ยนใหม่ ปฏิทินสารธรรมปี ๒๕๖๕ ก็เก็บไว้ เพื่อที่จะอ่านทบทวนธรรม ไม่ต้องใช้คำว่าสาธยายก็ได้ เพราะเล็กๆ น้อยๆ ปีใหม่ก็มีธรรม แล้วเดี๋ยวปีหน้า ปีอะไร ถามเด็กอนุบาลก็ต้องตอบได้ ปีที่แล้ว ๒๕๖๕ ปีนี้ ๒๕๖๖ ปีหน้าปีอะไร?
ผู้ฟัง ปี ๒๕๖๗
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ก็คือ ทำไมถึงมีปัจจุบัน ปีเก่า ปีใหม่ ที่มีเก่า มีใหม่เพราะมีปัจจุบัน ที่จะเป็นไป เพราะก็คือสภาพธรรมะที่กำลังเกิดตามเหตตามปัจจัย สภาพรู้ที่เป็นจิตที่เป็นใหญ่เป็นประธาน และก็มีสภาพรู้ที่เกิดประกอบกับจิตเป็นเจตสิก แล้วก็มีรูป
เพราะฉะนั้น เมื่อมีการเกิดดับของสภาพธรรม จึงมีการสมมติเวลาขึ้น เพราะฉะนั้น ธรรมะที่มีกาล คือธรรมะที่เวลา ที่เป็นกาล ก็ได้แก่จิต เจตสิก รูป เพราะว่าเกิดจากปัจจัย ตั้งอยู่เพียงชั่วขณะที่แสนสั้น แล้วก็ดับไป คือ จิต เจตสิก เมื่อเกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วดับไป จิตขณะต่อไปก็เกิดทันที ไม่มีระหว่างคั่น
เพราะฉะนั้น เพราะมีการเกิดดับของสภาพธรรม จึงมีการกำหนดเป็นเวลา เป็นวินาทีที่แล้ว หรือวินาทีข้างหน้า ที่กำลังจะมาถึง หรือวินาทีในขณะนี้ที่กำลังเป็นไป แต่โดยละเอียดยิ่งกว่าเสี้ยววินาที เพราะมีสภาพธรรมที่เกิดขณะนี้ แล้วดับไป จึงเป็นอดีต และเมื่อมีเหตุปัจจัย ขณะข้างหน้าก็ต้องมีสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ทำไมจึงมีปีเก่า เพราะดับไปแล้ว ถ้าย่อยปีมาเป็นเดือน เป็นวัน เป็นชั่วโมง เป็นนาที เป็นวินาที เสี้ยววินาที หรือย่อยที่สุด ก็คือแต่ละขณะของสภาพธรรมะที่เป็นจิต เจตสิก หรือ รูป ที่เกิดดับ โดยเฉพาะจิต เจตสิก ที่เกิดดับสืบต่อกันไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้น ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง จึงมีธรรมที่มีกาล จิต เจตสิก หรือ รูป และธรรมที่ไม่มีกาล คือไม่มีเวลา ก็คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นสภาพธรรม เป็นปรมัตถธรรม นิพพานปรมัตถ์ ซึ่งไม่เกิด ไม่ดับ จึงไม่มีเวลา ส่วนเรื่องราว บัญญัติ ต่างๆ จะเรียกบัญญัตติธรรม ก็เรียกไป แต่ไม่ใช่ตัวธรรมที่มีจริง ก็จะไม่มีกาล คือเกิดดับ
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่มีกาล ซึ่งคือปรมัตถ์ที่เป็นจิตปรมัตถ์ เจตสิกปรมัตถ์ และรูปปรมัตถ์ เป็นไป จึงมีการสมมติ จากนิมิตของสภาพธรรมะนั่นเอง เพราะมีสภาพธรรมะที่มีนิมิต นิพพานไม่มีนิมิต อนิมิตะ
เพราะฉะนั้น สภาพที่มีนิมิต มีเครื่องหมาย ก็คือ จิต เจตสิก รูป แล้วเมื่อมีปรมัตถ์ที่เกิดดับสืบต่อ จึงมีนิมิต และเมื่อมีนิมิต จึงมีบัญญ้ติ และสมมุติ สืบต่อจากนิมิตนั้น จึงสมมุติว่าเป็นเสี้ยววินาที และวินาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี กัปป์ ถ้านับไม่ไหวก็อสงไขยกัลป์ นี่คือที่สมมุติกันต่างๆ เพราะมีตัวสภาพธรรม เพราะฉะนั้น ปีใหม่ก็คือ ธรรมะนั่นเอง เป็นสมมุติจากธรรม
วันปีใหม่ไปเคาท์ดาวน์ โดยสมมติว่า ถ้าเที่ยงคืนตรง แล้วเลยไปนิดหนึ่งจะเปลี่ยนศักราชใหม่ เพราะเขาไม่เข้าใจความจริงว่าที่มีการสมมติว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนผ่านไปเสี้ยววินาที ก็จะเป็น ๑๐ วัน แล้วก็นับถอยหลัง นั่นแหละคือการสมมุติ แต่ขณะนั้น ทุกคน มีจิต เจตสิก ซึ่งเกิดดับแล้วไม่รู้เลย ไม่รู้จักธรรมที่เป็นกาล แต่พูดถึงคร่าวๆ ว่าเป็นกาล เป็นปีเก่า ปีใหม่ ผ่านไปแล้ว เคาท์ดาวน์ เป็นปีศักราชทันที ยึดถือกัน ไปใช่ไหม
เพราะฉะนั้น ไม่รู้ธรรมะที่เป็นกาล แต่เหมือนรู้จักปีใหม่ เหมือนรู้จักปีเก่า แต่ถ้าไม่เข้าใจสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ ก็ไม่เข้าใจสมมุติ ไม่เข้าใจปีเก่า ปีใหม่ ปีปัจจุบันอะไรทั้งสิ้นเลย ไม่เข้าใจสักคำ สมกับที่อ.คำปั่นกล่าวคำที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็ไม่รู้จักอะไรสักอย่าง ปีใหม่ก็ไม่รู้จัก เพราะปีใหม่ที่เราคิดว่า ขณะนั้นกำลังเปลี่ยนปีกัน ก็เป็นสภาพธรรมะที่เกิดขึ้น แล้วดับไปแต่ละขณะ
ก็เช่นกับที่คุณหล้ากล่าว มีเห็นหรือไม่ มีเห็นก็ได้ ตอนเที่ยงคืนของวันที่ ๓๑ มีเห็นก็ได้ มีคิดก็ได้ ขณะนั้นเกิดดับๆ สืบต่อ แต่มีการสมมุติว่าเป็นปีใหม่ แล้ววันที่ ๑ ถ้าไม่มีโควิท ก็ไปกินเลี้ยงกัน หรือบางท่านก็ไปรับประทานอาหารที่มีรสแปลก ก็มีรสปรากฏ มีการลิ้มรส แล้วก็มีความคิดเชื่อมโยงว่าปีใหม่ได้มาเที่ยว ได้มาทานอาหารแปลก ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็คือ ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้นเป็นไป
ก็ดีมากที่อาจารย์คำปั่นกล่าว คิดตรงกันที่ท่าอาจารย์กล่าว ใครจะไปคิดเองได้ แล้วท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวคำว่า "ธาตุ" ถ้าไม่มีธาตุ จะมีปีใหม่หรือไม่? ไม่มีธาตุ ก็คือไม่มีธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งต่างกัน อย่างที่คุณหล้ากล่า; เห็นก็อย่างหนึ่ง ได้ยินก็อย่างหนึ่ง คิดนึกก็อย่างหนึ่ง สีก็อย่างหนึ่ง รสก็อย่างหนึ่ง เพราะมีสภาพธรรมที่เป็นธรรม คือธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งหลากหลายแตกต่างกัน จะมีสมมุติหรือไม่ว่าเป็นปีใหม่ เป็นเรื่อง เป็นโต๊ะ เก้าอี้ เป็นอะไรก็เหมือนกัน
อ.คำปั่น ชัดเจนมากครับ แต่ละคำจึงต้องไตร่ตรองพิจารณาจริงๆ พื้นฐานคือความเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมะจริงๆ ครับ