มีเพียง ๗ รูป ปรากฏในชีวิตประจำวัน
ผู้ฟัง โคจรรูปซึ่งเป็นรูปหยาบ ซึ่งสามารถรู้ได้ทางทวารต่างๆ เราจะใช้ประโยชน์ในการรู้รูปหยาบเหล่านี้ได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ คือมีตัวตนที่ฟัง และต้องการผล แต่ว่าตามความเป็นจริง ฟังเพื่อเข้าใจให้ถูกต้องเพราะรู้ว่า สิ่งที่เราเข้าใจว่ามี เพราะผู้ที่รู้กว่าเรา เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่ได้ตรัสรู้ว่า ความจริงนั้นคืออย่างไร นี่คือการฟัง ไม่ต้องไปหวังอะไรทั้งหมด ไม่ต้องไปหวังจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ละคลายกิเลส หรืออะไร แต่ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจนั่นเอง ก็จะทำให้ค่อยๆ คลายความไม่รู้
ข้อสำคัญที่สุด ความเป็นผู้ละเอียด ตรง และจริงใจในการที่จะเข้าใจธรรมะ เพราะเหตุว่าแม้เพียงคำว่า “ธรรมะ” คำเดียว ได้ยินได้ฟังบ่อย ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ เราก็ไปคิดถึงสิ่งที่มีจริง แล้วเราก็บอกว่าเป็นธรรมะ และก็จำคำนี้ไว้ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ แต่ยังไม่รู้จักธรรมะเลย เพียงแต่ได้ฟังแล้วรู้ว่าอะไรเป็นธรรมะ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้นขั้นฟังก็คือ ขณะนี้สิ่งใดปรากฏ สิ่งนั้นจริง สิ่งนั้นเป็นธรรมะ แต่ก็ยังไม่รู้จักธรรมะ นี่คือความตรง ด้วยเหตุนี้อย่างที่คุณชุณห์กล่าวถึงรูปซึ่งปรากฏในชีวิตประจำวัน คือ ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ ถ้าในชีวิตประจำวันจริงๆ เราก็สามารถค่อยๆ เข้าใจ และค่อยๆ เริ่มรู้จักลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมนั้นได้ เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ ถ้าพูดง่ายๆ ว่าเป็นธรรมะ ทุกคนก็รับปาก สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมะ ก็กล่าวไป จำไป แต่เป็นธรรมะเพราะปรากฏความจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่สามารถปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมะต้องลึกซึ้งถึงความจริง เพื่อจะได้รู้จริงๆ ว่า เราฟังธรรมะ เราเข้าใจธรรมะ เราเข้าใจเพียงชื่อ เข้าใจเรื่องราว หรือขณะนี้สภาพธรรมก็ปรากฏ ให้เริ่มที่จะให้เข้าใจลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่ปรากฏ เพื่อที่จะได้ถึงความเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏก็เป็นธรรมะ ไม่ใช่ขั้นฟัง ไม่ใช่ขั้นจำ แต่มีการเริ่มเข้าใจลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่ปรากฏ เมื่อเข้าใจจริงๆ ไม่เปลี่ยนเลยสิ่งนี้ก็ยังคงเป็นรูปที่สามารถจะปรากฏขณะนี้ที่เห็น เพราะฉะนั้นนี่มีจริงรูปหนึ่ง ต้องฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจว่า เป็นธรรมะจริงๆ บังคับไม่ได้เลย มีจริงๆ เมื่อปรากฏ เมื่อจิตเห็น เสียงอีก ๑ รูปก็ปรากฏเมื่อมีจิตได้ยิน กลิ่นปรากฏ เมื่อมีการรู้กลิ่นที่ปรากฏในขณะนั้น มีจิตซึ่งกำลังรู้กลิ่น ขณะที่รสปรากฏ รสมีจริง ขณะที่กำลังกระทบกายก็มีสิ่งที่เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง ตึง หรือไหว ๓ รูป สิ่งที่อ่อนแข็งเป็นลักษณะของธาตุชนิดหนึ่ง สิ่งที่เย็น หรือร้อน ไม่ใช่อ่อน หรือแข็งเลย เป็นอีกลักษณะหนึ่ง สิ่งที่ตึง หรือไหวก็ไม่ใช่แข็ง และไม่ใช่เย็น หรือร้อน ถึงแม้ว่าใครจะไม่กล่าวว่า ๗ รูปนี้เป็นรูปหยาบ แต่ในเมื่อรูปมีหลายรูป และเพียง ๗ รูปปรากฏเป็นประจำในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวโดยนัยของรูป ก็จำแนกรูปได้เป็น ๒ ประเภท คือ รูปที่ปรากฏเป็นปกติ เป็นโคจรรูป หรือ วิสยรูป นี่คือภาษาบาลี แต่ภาษาไทยก็คือขณะที่กำลังเห็นนี่แหละ หมายความถึงรูปที่เป็นอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จะไม่จำคำว่า “โคจรรูป” ก็ได้ จะไม่จำคำว่า “วิสยรูป” ก็ได้ มีความเข้าใจว่า ขณะนี้ที่รูปจะปรากฏในชีวิตประจำวันได้ ๗ รูป แต่พอกล่าวถึงว่า รูปอื่นปรากฏไม่ได้ ๗ รูปนี้ปรากฏได้ และพบคำว่า โคจรรูป รูปที่เป็นอารมณ์ วิสยรูป รูปที่เป็นอารมณ์ เข้าใจได้ไหมว่า ไม่พ้น ๗ รูปนี้ ไม่ต้องจำใช่ไหมแต่เข้าใจ
สำหรับรูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป รูปหยาบ คือ รูปที่พอที่จะรู้ได้ ก็คือว่า ถ้าไม่มีจักขุปสาทก็ไม่มีอะไรจะไปกระทบ ก็ไม่มีอะไรจะปรากฏขณะนี้ได้เลย ด้วยเหตุนี้ก็มีอีก ๕ รูป ซึ่งเป็นปสาทรูป ๕ คือ สิ่งที่สามารถกระทบกับรูปที่กำลังปรากฏขณะนี้ จักขุปสาท ๑ โสตปสาท ๑ ฆานปสาท ๑ ชิวหาปสาท ๑ กายปสาท ๑ มีจริงๆ หรือไม่ จักขุปสาทมีจริงๆ หรือไม่ ใครว่าไม่จริงบ้างในขณะที่กำลังเห็น ต้องจริงใช่ไหม โสตปสาทมีจริงๆ หรือไม่ ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท เพราะฉะนั้นสำหรับรูปหยาบก็คือ ๑๒ รูป ในบรรดารูปหยาบ ๑๒ รูป เพียง ๗ รูปที่ปรากฏเป็นอารมณ์ในชีวิตประจำวัน นี่คือธรรมะซึ่งเกิดแล้วก็ดับอย่างรวดเร็ว ยังไม่รู้ลักษณะของรูปใดเลยใช่ไหม ฟังเข้าใจ นี่คือการจะเป็นผู้ละเอียด ไม่ใช่ว่าฟังอย่างนี้ก็รู้หมดแล้ว จบแล้ว ไม่ใช่เลย กำลังฟังเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา เริ่มสังขารขันธ์ปรุงแต่งน้อมไปที่จะเกิดความเข้าใจในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทีละเล็กทีละน้อย
ที่มา ...