รูปเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏเป็นนิมิต
ผู้ฟัง ถ้าเราบอกว่า รูปเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว ตลอดเวลา อธิบายอย่างไรคนก็ไม่เข้าใจ โต๊ะก็ไม่ได้หายไป ไม่ได้ดับไป เก้าอี้ก็ไม่ได้หายไป ไม่ได้ดับไป แจกันดอกไม้ เมื่อวานนี้ก็ยังอยู่ วันนี้ก็ยังอยู่
ท่านอาจารย์ ไม่ทราบคุณเด่นพงศ์ไม่มั่นใจอะไร
ผู้ฟัง ไม่มั่นใจคำว่า “รูป” หลายครั้งก็เหมือนโต๊ะ เก้าอี้
ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องคิดถึงโต๊ะ เก้าอี้ได้ไหม รูป มีจริงๆ
ผู้ฟัง รูปมีจริง
ท่านอาจารย์ มั่นใจ
ผู้ฟัง มั่นใจ
ท่านอาจารย์ แล้วรูปก็หลากหลาย รูปที่ปรากฏทางตา ปรากฏทางหูไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นแต่ละรูป อันนี้มั่นใจ
ผู้ฟัง มั่นใจครับ
ท่านอาจารย์ และที่ไม่มั่นใจ ตรงไหน
ผู้ฟัง คำว่า รูปคืออะไร คือโต๊ะ เก้าอี้ มันไม่ใช่ มันไม่ดับ สูญสิ้น
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นรูปโต๊ะกับรูปเก้าอี้ ต่างกันตรงไหน
ผู้ฟัง รูปโต๊ะกับเก้าอี้ก็เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ แล้วทำไมเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ถ้าเหมือนกัน
ผู้ฟัง ประกอบด้วยกลาป อย่างนี้จะเข้าใจดีขึ้นไหม
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ ต้องมีความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริง ที่ปรากฏ ที่แยกเป็นแต่ละรูป แต่ละลักษณะ เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม ถ้าเพียงแค่ปรากฏแล้วดับไป
ผู้ฟัง เพียงปรากฏแล้วดับไป
ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลยใช่ไหมคะ นี่คือความถูกต้อง เป็นความมั่นใจ หรือไม่ว่า รูปที่ปรากฏทางตา เกิด จึงได้ปรากฏ แล้วแค่ปรากฏได้ทางตาแล้วดับ จะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากเป็นสิ่งที่แค่ปรากฏจริงๆ นั่นคือรูปๆ หนึ่งที่ปรากฏทางตาแล้วดับด้วย ทีนี้มั่นใจ หรือยังตรงนี้ แม้ว่ายังไม่ประจักษ์ แต่ตามความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น หรือไม่
ผู้ฟัง แม้ไม่ประจักษ์
ท่านอาจารย์ แต่ตามความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น หรือไม่ นี่คือความมั่นใจว่ารูปที่เกิดดับ แล้วเร็วมากด้วย จึงไม่ปรากฏการเกิดดับ ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง อธิบายได้ตามตัวหนังสือ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ ตามความเป็นจริง คิดว่าถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดดับสืบต่อเร็วมาก เราสามารถเห็นการเกิดการดับ หรือไม่
ผู้ฟัง ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ก็แสดงให้เห็นว่า เรายังไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ จึงต้องอาศัยการฟัง สภาพธรรมก็มีเพียงแค่จิต เจตสิก รูป ฟังเท่าไรกี่ภพกี่ชาติก็คือเพิ่มความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง และก็มีจริงๆ ไม่ใช่พอได้ฟังว่า รูปเกิดดับก็จะไปประจักษ์การเกิดดับ แต่ต้องค่อยๆ พิจารณาตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา "มี" ไม่เคยรู้เลยว่า เป็นสิ่งที่สามารถปรากฏแล้วหมดไป แต่ว่าตามความเป็นจริงต้องเป็นอย่างนี้ใช่ไหม ให้มีความมั่นใจว่าเกิดดับ แต่ยังไม่ประจักษ์ แต่สามารถประจักษ์ได้ เพราะเป็นทุกขอริยสัจจะ ด้วยปัญญาที่สามารถจะคลายความไม่รู้ในสิ่งที่เคยยึดมั่นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น แม้แต่การยึดมั่นว่านี่เป็นโต๊ะ นั่นเป็นเก้าอี้ นั่นเป็นต้นไม้ ความยึดมั่นนั้นมาจากไหน มีสิ่งที่ปรากฏทางตาแน่นอน ใช่ไหม แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว เป็นนิมิตตะ เป็นสิ่งที่ปรากฏ เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า แม้แต่ความคิดว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น เป็นคน เป็นห้อง กำลังมีสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ในห้องนี้ โต๊ะ หรือว่าแจกัน ก็แสดงให้เห็นว่า ตามความเป็นจริงถ้ามีความเข้าใจที่ถูก คลายความติดข้อง เพราะรู้ความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นสัณฐานนั้นเป็นเพียงนิมิต แสดงให้เห็นว่า มีสภาพของรูปที่เกิดดับสืบต่อจริงๆ จนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน แต่เพราะไม่ประจักษ์การเกิดดับ ก็มีการจำนิมิตตะเป็นเก้าอี้ หรือว่าเป็นโต๊ะ โดยที่ยังไม่ต้องเรียกชื่อเลย ไม่มีใครมาสอนเด็กเล็กๆ ว่า นี่เรียกว่าเก้าอี้ นั่นเรียกว่าโต๊ะ แต่ก็มีนิมิตตะ ที่ทำให้เห็นความต่างของสิ่งที่ปรากฏด้วยความจำ
เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า เรายังไม่ได้รู้จริงในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับเร็วมาก เพียงแต่ว่าเราอยู่ในโลกของความไม่รู้ และสิ่งที่ปรากฏเป็นนิมิตของสังขารธรรม เป็นสังขารนิมิตทั้งหมด แล้วก็ค่อยๆ เริ่มฟังว่า จริงๆ แล้วเป็นธาตุ เป็นธรรมแต่ละอย่าง มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป จนว่าจะคลายความไม่รู้ ปัญญาเพิ่มขึ้นจึงประจักษ์การเกิดดับได้ ถ้าไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับได้ พระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง ไม่มีประโยชน์ แต่ทรงแสดงเพราะรู้ว่า มีผู้ฟังที่ไตร่ตรอง ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก มั่นคงด้วยวิริยะ ด้วยขันติ จนกระทั่งสามารถคลายความไม่รู้ และแทงตลอดสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้
ผู้ฟัง ถ้าถามว่าเชื่อพระปัญญาของพระพุทธเจ้า หรือไม่ ผมเชื่อ แต่ว่า
ท่านอาจารย์ ถ้าเชื่อ ก็คือเชื่อว่า ขณะนี้รูปที่กำลังปรากฏเป็นนิมิต
ผู้ฟัง แต่ว่ายังวิเคราะห์ไม่ออก
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ฟังเข้าใจแล้วรู้ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วก็ฟังไปอีก เข้าใจไปอีก ทั้งหมดไม่ใช่ให้เราไปประจักษ์การแยกขาดของนามธรรมรูปธรรมที่เกิดดับ โดยไม่มีความเข้าใจ นี่เป็นสิ่งซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ว่า ปัญญาที่สามารถแทงตลอดได้ ต้องเริ่มเกิดตั้งแต่การฟัง และความเข้าใจก็ละความไม่เข้าใจ และความไม่รู้
ผู้ฟัง โต๊ะ เก้าอี้เป็นกลาปแต่ละกลาปรวมกันอยู่ และแต่ละกลาปก็มีส่วนประกอบอยู่แล้ว และส่วนประกอบเหล่านี้ที่เรามองไม่เห็นก็เกิดดับๆ อธิบายอย่างนี้จะง่ายกว่าไหม
ท่านอาจารย์ สภาพธรรมทั้งหมดเกิดแล้วก็ดับ มีอายุที่สั้นมาก จนกว่าจะประจักษ์ความจริง ค่อยๆ เข้าใจ แยกลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นลักษณะหนึ่ง
ผู้ฟัง คือท่านอาจารย์ไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีที่ผมแยกเป็นกลาป
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นความเข้าใจ ไม่ใช่วิธี
ผู้ฟัง ไม่ใช่วิธี เอาของจริงมาอธิบายเป็นกลาป
ท่านอาจารย์ เวลานี้กำลังพูดถึงสิ่งที่ปรากฏ และเห็นนิมิตของสิ่งที่ปรากฏด้วย เพราะฉะนั้นนิมิตนี้มาจากไหน มาจากสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อเร็วมาก เมื่อไม่ประจักษ์ ก็มีนิมิตตะของสิ่งที่ปรากฏเป็นสีสันวัณณะต่างๆ เป็นรูปร่างต่างๆ
ผู้ฟัง ถ้าเผื่อมองเห็น สิ่งที่มองเห็นทางตา อย่างที่หน้าจอที่เห็นอยู่เดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วก็เกิดดับๆ
ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องคิดถึงการเกิดดับเลย แน่นอนผู้ที่ประจักษ์รู้ว่าเกิดดับ ผู้ที่ยังไม่ประจักษ์จะไปคิดทำไม นอกจากจะเข้าใจให้ถูกต้องว่า เป็นสิ่งที่มีจริงๆ กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง คิดว่า เข้าใจแล้วก็มั่นคง
ท่านอาจารย์ เข้าใจก็ยังไม่พอ ทุกครั้งที่เห็นจะมีความต่างกันของขณะที่สติเกิดเป็นปกติ กำลังรู้ลักษณะที่มีจริงๆ และมีลักษณะของสภาพธรรมเกิดดับทั้งนั้นเลย เช่น ขณะนี้ก็มีเสียงเกิด มีคิดนึกเกิด
ผู้ฟัง สรุปอาจารย์ให้ผมเข้าใจไปเรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญญา อะไรจะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมได้
ผู้ฟัง คือวิธีแยกเป็นกลาป ไม่ต้องไปคิดต่อแล้ว
ท่านอาจารย์ ฟังให้เข้าใจ แล้วก็รู้ว่า ไม่สามารถประจักษ์ได้เพียงขั้นฟัง แต่ความจริงเป็นอย่างนั้นก็อบรมไป
ผู้ฟัง เข้าใจว่า ความจริงไม่ต้องไปแยกเป็นกลาป หรือไปแยกเป็นอณูอะไร
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่แยก เข้าใจให้ถูกต้องว่า สิ่งที่รวมกันเป็นก้อนใหญ่ แท้ที่จริงมีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียด และส่วนที่แยกอีกไม่ได้เลย นั่นคือ ๑ กลาป แล้วแต่ว่า ๑ กลาปนั้นจะมีรูปกี่รูปรวมกัน เพราะว่าจะไม่มีเพียงรูปเดียว สภาพธรรมอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น แม้แต่รูป มหาภูตรูปมี ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อาศัยกัน และกัน ขาดธาตุหนึ่งธาตุใดไม่ได้ แต่ว่าเมื่อมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็มีสี ที่สามารถกระทบจักษุปสาทปรากฏให้เห็นว่า มีอยู่ตรงนั้น มีกลิ่น มีรส มีโอชา รวมอยู่ในกลาปที่เล็กที่สุด ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ไม่ใช่ไปแยก แต่เข้าใจให้ถูกต้องว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฎจะใหญ่มาก หรือจะเล็กที่สุดก็ยังแตกย่อยเป็นกลาป คือ ส่วนที่เล็กที่สุดที่แตกย่อยอีกไม่ได้ ก็มีรูปอย่างน้อยที่สุด ๘ รูป
ผู้ฟัง ระลึกศึกษา คือไม่ต้องไปแยกเป็นกลาป เพียงแต่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ ฟังให้เข้าใจความเป็นจริง ไม่ใช่ให้ตัวเราไปแยก ไม่มีทางไปแยกได้เลย ต้องเป็นปัญญาที่สามารถละความไม่รู้ ละความติดข้อง มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเมื่อไร ก็จะรู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วคลายอะไรบ้าง หรือยัง มีปัญญารู้เพิ่มขึ้น หรือเปล่า ไม่ใช่ให้มีตัวเราที่พยายามจะประจักษ์ด้วยความเป็นตัวตน ไม่สำเร็จ
ผู้ฟัง คือเพียงเข้าใจว่า เป็นสภาพที่ปรากฏแล้วหมดไป เพียงแค่นี้ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แล้วรู้ หรือยัง แค่นี้
ผู้ฟัง บางทีก็หลงลืมบ้าง
ท่านอาจารย์ รู้ขั้นฟังอย่างหนึ่ง รู้ขั้นกำลังเริ่มเข้าใจลักษณะที่ปรากฏจริงๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏได้
ที่มา ...