กัสสปมันทิยชาดก เห็นกิเลส และก็ขัดเกลากิเลส


    พุทธบริษัทผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายก็ใคร่ที่จะได้นมัสการสังเวชนียสถานซึ่งเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในสังสารวัฏฏ์

    เมื่อได้ไปนมัสการสังเวชนียสถาน และพุทธสถานต่างๆ นั้น ก็ควรที่จะมี โยนิโสมนสิการพิจารณาธรรมทั้งหลายด้วย แต่ก่อนที่จะถึงการมนสิการเมื่อได้ไปนมัสการสังเวชนียสถาน และพุทธสถานต่างๆ ขอกล่าวถึงความอดทนในชาติต่างๆ ของพระสาวก เพื่อท่านผู้ฟังจะได้พิจารณาเห็นว่า แม้แต่ในเรื่องธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน ก็ต้องเป็นผู้ที่มีความอดทน

    ขอกล่าวถึงข้อความใน อรรถกถา กัสสปมันทิยชาดกที่ ๒

    ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวัน พระองค์ทรงปรารภ ภิกษุแก่รูปหนึ่ง จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อปิ กสฺสป มนฺทิย ดังนี้

    ได้ยินว่า ในพระนครสาวัตถี มีกุลบุตรผู้หนึ่งเห็นโทษในกามทั้งหลาย จึงบวชในสำนักพระผู้มีพระภาค ซึ่งไม่นานท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

    ต่อมาเมื่อมารดาของท่านสิ้นชีวิตลง ภิกษุนั้นจึงให้บิดา และน้องชายบวช และให้อยู่ในพระวิหารเชตวัน ในวันใกล้พรรษา ภิกษุทั้ง ๓ รูปได้ไปจำพรรษาอยู่ที่อาวาสที่หมู่บ้านหนึ่งที่มีปัจจัยหาง่ายสะดวก เมื่อออกพรรษาแล้วจะกลับไปยัง พระวิหารเชตวันตามเดิม ภิกษุหนุ่มได้สั่งสามเณรผู้น้อง ให้ภิกษุผู้เป็นพระแก่พักก่อนแล้วค่อยพามา ส่วนตัวท่านจะล่วงหน้าไปจัดเตรียมที่พักที่พระวิหารเชตวันก่อน

    พระเถระแก่ค่อยๆ เดินมา สามเณรก็ทำราวกับว่า เอาศีรษะรุนพระเถระแก่ อยู่บ่อยๆ ให้เดินไปๆ พระเถระก็หวนกลับไปตั้งต้นเดินใหม่ เป็นอย่างนี้จน พระอาทิตย์ตก กว่าจะไปถึงพระเชตวันก็มืดแล้ว

    ภิกษุหนุ่มผู้พี่คอยอยู่จนค่ำ ได้ถือคบเพลิงไปคอยรับ เมื่อถามถึงเหตุที่มาช้า ภิกษุแก่ผู้เป็นบิดาก็ได้เล่าให้ฟัง วันนั้นภิกษุหนุ่มรูปนั้นไม่ได้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาค

    วันรุ่งขึ้นเมื่อภิกษุนั้นได้ไปยังที่อุปัฏฐาก เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ภิกษุนั้นมาถึงเมื่อวันก่อน แต่ไม่ได้มากระทำพุทธอุปัฏฐากเพราะเหตุนั้น พระองค์จึงทรงติเตียนภิกษุแก่ และตรัสเล่าว่า แม้ในชาติก่อนๆ ภิกษุแก่นั้นก็ได้ทำอย่างนั้น

    ท่านผู้ฟังมีความเห็นว่าอย่างไร ใครถูกติ ไม่ใช่สามเณรที่เป็นลูกคนเล็ก แต่ภิกษุแก่ผู้เป็นบิดาถูกติ คิดดู ความอดทนควรจะเป็นของใคร

    โดยสมัยนั้น (คือ สมัยก่อน ในชาติก่อนๆ โน้น) พระผู้มีพระภาคทรงเป็น พระโพธิสัตว์ บวชเป็นฤๅษีในหิมวันตประเทศ ภิกษุแก่รูปนั้นในชาตินั้นได้เป็นบิดา ของพระโพธิสัตว์ และมีพฤติกรรมคล้ายกับชาตินี้ คือ ในฤดูฝนก็ออกจาก หิมวันตประเทศไปสู่ชายแดนเมือง และกลับไปสู่หิมวันตประเทศเมื่อมีผลไม้บริบูรณ์ ในหิมวันตประเทศนั้น

    ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ให้ดาบสทั้ง ๒ เก็บบริขารแล้ว ให้บิดาอาบน้ำ ทำการ ล้างเท้า ทาเท้า และนวดหลัง ตั้งกระเบื้องถ่านไฟ แล้วเข้าไปนั่งใกล้บิดาผู้ระงับความอิดโรยแล้ว จึงกล่าวว่า

    ข้าแต่ท่านบิดา ธรรมดาเด็กหนุ่มทั้งหลายเช่นกับภาชนะดิน ย่อมแตกได้โดยครู่เดียวเท่านั้น

    คือ ไม่มีความอดทนเลย พวกคนหนุ่มๆ ทั้งหลายจะเห็นได้ว่า เป็นวัยซึ่งขาดความอดทน

    ตั้งแต่เวลาที่แตกครั้งเดียว ย่อมไม่อาจต่อกันได้อีก เด็กหนุ่มเหล่านั้นด่าอยู่ก็ดี บริภาษอยู่ก็ดี ผู้ใหญ่ควรจะอดทน เมื่อจะโอวาทบิดา จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

    ข้าแต่ท่านกัสสปะ เด็กหนุ่มจะด่า แช่ง หรือจะตีก็ตาม ด้วยความเป็น เด็กหนุ่ม บัณฑิตผู้มีปัญญาย่อมอดทนความผิดที่พวกเด็กทำแล้วทั้งหมดนั้นได้

    อยากจะเป็นผู้ใหญ่ หรืออยากจะเป็นเด็ก ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องเป็นผู้ที่อดทนต่อการกระทำของเด็กหนุ่มทั้งหลาย

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ถ้าแม้สัตบุรุษทั้งหลายวิวาทกัน ก็กลับเชื่อมกันได้สนิทโดยเร็ว ส่วนคนพาลทั้งหลายย่อมแตกกันเหมือนภาชนะดิน เขาย่อมไม่ถึงความสงบเวรกันได้เลย

    ถ้าจะดับกิเลส อยากจะรู้แจ้งอริยสัจจ์ อยากจะประจักษ์การเกิดดับของนามธรรม และรูปธรรม แต่ไม่พิจารณาธรรมเหล่านี้ ซึ่งเป็นการขัดเกลากิเลสให้เป็น ผู้ที่มีความอดทน จะถึงไหม แม้เพียงข้อความที่พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ถ้าแม้สัตบุรุษทั้งหลายวิวาทกัน ก็กลับเชื่อมกันได้สนิทโดยเร็ว

    ที่จะไม่ให้มีใครโกรธกันเลย ไม่ขัดใจกันเลย เป็นไปได้ไหม แม้ในระหว่างสัตบุรุษก็คงจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ขุ่นข้องหมองใจกันบ้าง แต่ก็กลับเชื่อมกันได้สนิทโดยเร็ว นี่คือผู้ที่เป็นบัณฑิต ผู้ที่เห็นว่า แล้วก็ตาย คือ ทุกคนที่เกิดมาจะรักจะชังกันมากสักเท่าไร แล้วก็ตาย ลืมหมดทุกอย่างในชาตินี้ แต่ระหว่างที่ยังไม่ตาย ยังไม่ลืม ก็จำไว้ แต่จะจำโดยฐานะของบัณฑิต หรือจะจำโดยฐานะของคนพาล

    ถ้าโดยฐานะของบัณฑิต แม้ไม่ลืมเรื่องนั้น แต่สามารถอภัยให้ได้ และแม้ วิวาทกัน ก็กลับเชื่อมกันได้สนิทโดยเร็ว

    สังเกตดูในระหว่างบัณฑิต มีการอภัยให้กัน มีการเป็นมิตรสหายกันอีกได้ มีการเกื้อกูลกันต่อไปได้ นั่นคือผู้ที่เข้าใจธรรม

    ส่วนคนพาลทั้งหลายย่อมแตกกันเหมือนภาชนะดิน เขาย่อมไม่ถึงความสงบเวรกันได้เลย

    แม้แต่เพียงธรรมสั้นๆ ก็เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่จะขัดเกลากิเลส

    ข้อความต่อไป พระโพธิสัตว์กล่าวว่า

    ผู้ใดรู้โทษที่ตนล่วงเกินแล้ว และรู้การแสดงโทษ คนทั้งสองนั้นย่อม พร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น ความสนิทสนมของเขาย่อมไม่เสื่อมคลาย

    ต้องรู้จักโทษที่ตนเองล่วงเกินคนอื่น และรู้การแสดงโทษ คือ ไม่ใช่เพียงแต่รู้ แต่ไม่แสดงโทษ ถ้ารู้แล้วไม่แสดงโทษจะสังเกตได้ว่า ใจยังขุ่นข้อง บางครั้งอาจจะ นึกถึง และยังมีความขุ่นข้องอยู่แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าผู้ใดที่ล่วงเกินแล้ว และแสดงโทษแล้ว คนทั้งสองนั้นย่อมพร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น หมดเรื่อง เข้าใจกันชัดเจน ไม่มีปัญหาอะไรอีก ความสนิทสนมของเขาย่อมไม่เสื่อมคลาย

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ผู้ใดเมื่อคนเหล่าอื่นล่วงเกินแล้ว ตนเองสามารถเชื่อมให้สนิทสนมได้ ผู้นั้นแลชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐยิ่ง เป็นผู้นำภาระไป เป็นผู้ทรงธุระไว้

    หมายความว่า ถ้าบุคคลอื่นล่วงเกิน และตนสามารถเชื่อมให้สนิทสนมได้ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐยิ่ง

    ไม่ว่าใครก็ตามที่มีเรื่องที่ขุ่นเคืองใจต่อกัน ห่างเหินกัน หรือไม่สนิทสนมกัน แต่บุคคลนั้นสามารถเชื่อมให้สนิทได้ ผู้นั้นแลชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐยิ่ง เป็นผู้นำภาระไป เป็นผู้ทรงธุระไว้

    ท่านผู้ฟังเห็นไหมว่า ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาจริงๆ จึงจะสามารถพิจารณาเห็นประโยชน์ที่แท้จริงว่าควรจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นผู้ที่ทรามปัญญา แม้พระโพธิสัตว์ จะกล่าวว่าอย่างนี้ หรือพระผู้มีพระภาคจะตรัสว่าอย่างไร บุคคลนั้นก็เห็นตรงกันข้าม หรือยังไม่อาจที่จะคล้อยตามว่า ควรที่จะกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์

    ข้อความในอรรถกถามีว่า

    ผู้ใดเมื่อคนอื่นล่วงเกิน คือ ถูกโทษครอบงำ กระทำความผิด เมื่อคนเหล่านั้นแม้ไม่ขอขมาโทษ ตนเองสามารถทำความสนิทสนม คือ เชื่อมมิตรภาพอย่างนี้ว่า ท่านมาเถิด จงเรียนอุเทศ จงฟังอรรถกถา จงหมั่นประกอบภาวนา เพราะเหตุไร ท่านถึงเหินห่าง ผู้นี้คือผู้เห็นปานนี้ เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา เป็นผู้ประเสริฐยิ่ง ย่อมถึงการนับว่า ผู้นำภาระ และว่า ผู้ทรงธุระไว้ เพราะนำภาระ และธุระของมิตรไป

    ใครจะเป็นเพื่อนที่แท้จริง พิจารณาดู ทุกคนอยากมีเพื่อนแท้ แต่ขณะเดียวกันท่านก็เป็นเพื่อนแท้ของคนอื่น ซึ่งท่านจะมีธุระของเพื่อนแท้ คือ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่กระทำเพื่อความไม่ขุ่นเคือง ไม่ขุ่นข้อง และท่านทำ ไม่ใช่ทอดธุระ ไม่ใช่ว่า ไม่ใช่ธุระอะไรของท่าน นั่นคือผู้ที่ประเสริฐ

    พระโพธิสัตว์ได้ให้โอวาทแก่ดาบสบิดาอย่างนี้

    จำเดิมแต่นั้น ดาบสผู้บิดาก็ได้เป็นผู้ฝึกตน ทรมานตนได้ดีแล้ว

    แต่เฉพาะชาตินั้น ใช่ไหม เพราะในชาตินี้ท่านก็กลับทำอย่างเดิม คือ เมื่อบุตรของท่านเอาศีรษะรุนหลัง ท่านก็โกรธ ไม่อดทน และท่านก็กลับไปตั้งต้นใหม่ เดินใหม่ กว่าจะถึงพระเชตวันก็มืดค่ำ

    แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครสามารถบังคับธรรมได้เลย ไม่ว่าอกุศลธรรมหรือ กุศลธรรม บางกาลกุศลธรรมก็มีปัจจัยที่จะเกิดมาก บางกาลอกุศลที่ยังไม่ได้ดับ ก็มีปัจจัยที่จะเกิด เพราะฉะนั้น แม้ว่าในชาติหนึ่งจะเป็นผู้ที่ได้พยายามอบรมตน ฝึกตน ขัดเกลากิเลส แต่เมื่อกิเลสยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท ยังมีเชื้อที่จะทำให้เกิดขึ้น ก็ทำให้มีการกระทำซึ่งเป็นไปตามกำลังของกิเลสนั้นๆ

    ถ. บิดาของพระโพธิสัตว์ในชาตินั้น ได้ฟังคำสอนจากพระโพธิสัตว์ ก็แทบจะไม่เกิดประโยชน์อะไร

    สุ. ท่านก็ฝึกตน ทรมานตนได้ดีในชาตินั้น

    ถ. เกิดในชาตินี้ อุปนิสสยปัจจัยก็เกิดขึ้นอีก แต่ก็ต้องได้ประโยชน์ ทีละชาติๆ ทีละเล็กทีละน้อย

    สุ. ในขณะที่กุศลค่อยๆ สะสมเพิ่มพูนขึ้นทีละน้อย อกุศลที่ยังไม่ได้ดับ ก็ยังมีปัจจัยที่จะเกิด เพราะฉะนั้น ผู้ที่กำลังขัดเกลากิเลสจึงเห็นกิเลส และขัดเกลากิเลส และก็เห็นกิเลส และก็ขัดเกลากิเลส จะต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1923


    หมายเลข 12946
    15 เม.ย. 2567