โมฆราชเถราปทาน ผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง


    ขอกล่าวถึงประวัติของพระสาวกอีกท่านหนึ่ง ซึ่งจะเกื้อกูลบางท่านก็อาจจะเป็นได้ ถ้าท่านกำลังกระทำอย่างนั้นอยู่ ก็จะได้ไม่กระทำ มิฉะนั้นแล้วจะได้รับเศษกรรมอย่างพระสาวกท่านนี้

    ขุททกนิกาย อปาทาน โมฆราชเถราปทานที่ ๑๐

    ท่านพระโมฆราชะได้เล่าอดีตของท่าน ย้อนไปถึงในกัปนับจากภัทรกัปนี้ไปหนึ่งแสนกัป ในสมัยพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ มีข้อความว่า

    ครั้งนั้น เราเป็นผู้ประกอบในหนทางแห่งการงานของบุคคลอื่นในสกุลหนึ่ง ในพระนครหงสวดี ทรัพย์สินอะไรๆ ของเราไม่มี เราอาศัยอยู่ที่พื้นซึ่งเขาทำไว้ที่หอฉัน เราได้ก่อไฟที่พื้นหอฉันนั้น พื้นศิลาจึงดำไปเพราะไฟลน ครั้งนั้นพระโลกนาถผู้ประกาศสัจจะ ๔ ได้ตรัสสรรเสริญพระสาวกผู้ทรงจีวรเศร้าหมองในที่ประชุมชน

    เราชอบใจในคุณของท่าน จึงได้ปฏิบัติพระตถาคต ปรารถนาฐานันดรอันสูงสุด คือ ความเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ได้ตรัสกับพระสาวกทั้งหลายว่า

    จงดูบุรุษนี้ ผู้มีผ้าห่มน่าเกลียด ผอมเกร็ง มีหน้าผ่องใสเพราะปีติ ประกอบด้วยทรัพย์ คือ ศรัทธา มีกาย และใจสูงเพราะปีติ ร่าเริง ไม่หวั่นไหว หนาแน่นไปด้วยธรรมที่เป็นสาระ บุรุษนี้ชอบใจในคุณของภิกษุผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง ปรารถนาฐานันดรนั้นอย่างจริงใจ

    ข้อความต่อไป ท่านเล่าว่า

    เราได้ฟังพุทธพยากรณ์นั้น และเบิกบาน ถวายบังคมพระพิชิตมารด้วยเศียรเกล้า ทำแต่กรรมที่ดีงามในศาสนาของพระชินเจ้าตราบเท่าสิ้นชีวิต เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และเพราะการตั้งเจตจำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะกรรม คือ การเอาไฟลนบนพื้นที่หอฉัน เราจึงถูกเวทนาเบียดเบียนไหม้แล้วในนรกพันปี ด้วยเศษกรรมที่ยังเหลือนั้น เราเป็นมนุษย์เกิดในสกุล จึงเป็นผู้มีรอยเป็นเครื่องหมายถึง ๕๐๐ ชาติโดยลำดับ เพราะอำนาจของกรรมนั้น เราจึงเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยโรคเรื้อน เสวยมหันต์ทุกข์ถึง ๕๐๐ ชาติเหมือนกัน

    ในภัทรกัปนี้ เรามีจิตเลื่อมใส เลี้ยงดูพระอุปริฏฐผู้มียศให้อิ่มหนำด้วยบิณฑบาต เพราะเศษกรรมที่ยังเหลือนั้น และเพราะการตั้งเจตจำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    เมื่อถึงภพสุดท้าย ได้บังเกิดในสกุลกษัตริย์ เมื่อพระชนกล่วงไปแล้ว ก็ได้เป็นพระมหาราชา เราถูกโรคเรื้อนครอบงำ กลางคืนไม่ได้รับความสุข เพราะสุขที่เกิดจากความเป็นพระเจ้าแผ่นดินหาประโยชน์ไม่ได้ ฉะนั้นเราจึงชื่อว่าโมฆราชะ เราเห็นโทษของร่างกายจึงได้บวชเป็นบรรพชิต มอบตัวเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรีผู้ประเสริฐ เราเข้าไปเฝ้าพระผู้นำนรชน พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ได้ทูลถามปัญหาอันละเอียดลึกซึ้งว่า โลกนี้ โลกหน้า พรหมโลก กับทั้งเทวโลก ข้าพระองค์ไม่ทราบความเห็นของพระองค์ผู้ทรงพระนามว่าโคดมผู้มียศ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้มีปัญหามาถึงพระองค์ผู้ทรงเห็นล่วงสามัญชน ข้าพระองค์จะพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจะไม่เห็น

    ถูกทรมานด้วยโรคเรื้อน จนกระทั่งอยากพ้นไปเสียจากมนุษย์โลก เทวโลกพรหมโลก ทั้งหมด แต่ไม่ทราบวิธีที่จะพิจารณาอย่างไรจึงจะพ้นไปได้

    ข้อความต่อไปมีว่า

    พระพุทธเจ้าผู้ทรงรักษาโรคทุกอย่างให้หายได้ ได้ตรัสกับเราว่า ดูกร โมฆราชะท่านจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าตัวตนเสีย บุคคลพึงข้ามพ้นมัจจุราชไปได้ด้วยอุบายเช่นนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้ มัจจุราชจึงจะไม่เห็น

    เราเป็นผู้ไม่มีผม และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์เป็นภิกษุ พร้อมกับเวลาจบพระคาถา เราเป็นผู้ถูกโรคเรื้อนเบียดเบียน ถูกเขาว่ากล่าวว่า วิหารอย่าเสียหายเสียเลย จึงไม่ได้อยู่ในวิหารของสงฆ์ เรานำเอาผ้ามาจากกองหยากเยื่อ ป่าช้า และหนทาง แล้วทำผ้าสังฆาฏิด้วยผ้าเหล่านี้ ทรงจีวรที่เศร้าหมองพระผู้นำชั้นพิเศษ ผู้เป็นนายแพทย์ใหญ่ทรงพอพระทัยในคุณข้อนั้นของเรา จึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายที่ทรงจีวรเศร้าหมอง เราสิ้นบุญ และบาป หายโรคทุกอย่าง ไม่มีอาสวะ ดับสนิทเหมือนเปลวไฟที่หมดเชื้อ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้

    ทราบว่า ท่านพระโมฆราชเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล

    จบโมฆราชเถราปทาน

    อาจจะมีท่านผู้หนึ่งผู้ใดทำอย่างนี้บ้างหรือเปล่า เอาไฟลนที่พื้นหอฉัน ต้องระวังอีกเหมือนกัน เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ได้ ถ้าทำไปด้วยการที่ไม่เห็นว่าเป็นสถานที่ๆ ควรเคารพสักการะ

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 272

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 273


    หมายเลข 12976
    24 ก.ค. 2567