ชาณุสโสณีสูตร - ฐานะ และ อฐานะ
ขอกล่าวถึงข้อความใน อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ชาณุสโสณีสูตร ซึ่งจะทำให้ท่านได้เข้าใจข้อความตอนนี้เพิ่มเติม เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสกับชาณุสโสณีพราหมณ์ว่า ทานที่อุทิศให้ผู้ล่วงลับย่อมสำเร็จในฐานะ และย่อมไม่สำเร็จในอฐานะ
อฐานะ คือ ย่อมไม่สำเร็จแก่บุคคลที่เกิดในนรก สัตว์ดิรัจฉาน มนุษย์ เทวโลก
ส่วนฐานะนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร พราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์ และอกุศลธรรมอื่นๆ ไปจนถึงมีความเห็นผิด บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงเปรตวิสัย เขาย่อมเลี้ยงอัตภาพอยู่ในเปรตวิสัยนั้น ย่อมตั้งอยู่ในเปรตวิสัยนั้น ด้วยอาหารของสัตว์ผู้เกิดในเปรตวิสัย
เป็นข้อความที่ชัดเจนว่า ด้วยอาหารของสัตว์ผู้เกิดในเปรตวิสัย หรือว่า มิตรอำมาตย์ หรือว่าญาติสาโลหิตของเขาย่อมเพิ่มให้ซึ่งปัตติทานมัยจากมนุษย์โลกนี้ เขาเลี้ยงอัตภาพอยู่ในเปรตวิสัยนั้น ย่อมตั้งอยู่ในเปรตวิสัยนั้นด้วยปัตติทานมัยนั้น ดูกร พราหมณ์ ฐานะอันเป็นที่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แลเป็นฐานะ
ซึ่งชาณุสโสนีพราหมณ์ก็ได้กราบทูลถามต่อไปว่า
ท่านโคดมผู้เจริญ ก็ถ้าญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น ไม่เข้าถึงฐานะนั้น ใครเล่าจะบริโภคทานนั้น
ซึ่งจากพระคาถาที่ตรัสใน ติโรกุฑฑกัณฑ์ ท่านผู้ฟังจะเห็นข้อความที่ว่า แม้ทายกก็เป็นผู้ที่ไม่ไร้ผล
ซึ่งในชาณุสโสนีสูตรพระผู้มีพระภาคตรัสตอบชาณุสโสณีพราหมณ์ว่า
ดูกร พราหมณ์ ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้ว แม้เหล่าอื่นของทายกนั้นที่เข้าถึงฐานะนั้นมีอยู่ ญาติสาโลหิตเหล่านั้น ย่อมบริโภคทานนั้น
อุทิศให้ญาติ เจาะจงแก่ญาติ เพราะฉะนั้น เมื่อญาติอนุโมทนาก็ได้ ญาติที่เป็นเปรตจะได้ แต่ญาติที่ไม่ได้เป็นเปรตก็ไม่ได้
ชาณุสโสณีพราหมณ์กราบถามทูลว่า
ท่านโคดมผู้เจริญ ก็ถ้าญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น ไม่เข้าถึงฐานะนั้น และญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้ว แม้เหล่าอื่นของทายกนั้นก็ไม่เข้าถึงฐานะนั้น ใครเล่าจะบริโภคทานนั้น
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร พราหมณ์ ฐานะที่จะพึงว่างจากญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้ว โดยกาลช้านานเช่นนี้ มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ อีกประการหนึ่ง แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผล
ถ้าญาติของท่านล่วงลับไป ท่านอุทิศส่วนกุศลให้เจาะจงบุคคลนั้น และญาติเหล่าอื่นก็ได้ เพราะเหตุว่าถ้าบุคคลที่ท่านเจาะจงอุทิศให้ไม่ได้เกิดเป็นเปรต ญาติเหล่าอื่นที่เกิดเป็นเปรตจะได้รับอุทิศส่วนกุศลด้วยการอนุโมทนา
ชาณุสโสณีพราหมณ์กราบทูลถามว่า
ท่านโคดมผู้เจริญ ย่อมตรัสกำหนดแม้ในอฐานะหรือ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร พราหมณ์ เรากล่าวกำหนดแม้ในอฐานะ
คือ แม้บุคคลนั้นเกิดเป็นมนุษย์ หรือเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็ตาม เป็นอฐานะที่จะได้รับอุทิศส่วนกุศล แต่เมื่อเคยเป็นทายก ผู้ให้ทานนั้นย่อมไม่ไร้ผลอย่างนั้นหรือ
ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร พราหมณ์ เรากล่าวฐานะ แม้ในอฐานะ ดูกร พราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์ และอกุศลกรรมอื่น ตลอดไปจนถึงมีความเห็นผิด บุคคลนั้นย่อมให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีปแก่สมณพราหมณ์ บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของช้าง (คือ เกิดเป็นช้าง)
แม้ว่าจะได้ทำอกุศลกรรม แต่ก็เป็นผู้ที่ให้ทาน เพราะฉะนั้น เมื่อจุติแล้วไปเกิดเป็นช้าง เขาย่อมได้ข้าว น้ำ มาลา และเครื่องอลังการต่างๆ ในกำเนิดช้างนั้น
ดูกร พราหมณ์ ข้อที่บุคคลเป็นผู้ฆ่าสัตว์ และอกุศลกรรมอื่นเป็นต้น ไปจนถึง มีความเห็นผิด ผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของช้างด้วยกรรมนั้น และข้อที่ผู้นั้นเป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีปแก่สมณพราหมณ์ ผู้นั้นย่อมได้ข้าว น้ำ มาลา และเครื่องอลังการ ต่างๆ ในกำเนิดช้างนั้น ด้วยกรรมนั้น
เป็นไปได้ใช่ไหม ทายก ผู้ให้ไม่ไร้ผล กรรมติดตามไปอุปถัมภ์ แม้ในกำเนิดของสัตว์ดิรัจฉาน ถึงเกิดเป็นช้างก็ยังได้ข้าว ได้น้ำ ได้ของหอม ได้อะไรต่างๆ ซึ่งเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร พราหมณ์ อนึ่งบุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ฆ่าสัตว์ และอกุศลกรรมอื่น ตลอดไปจนถึง มีความเห็นผิด บุคคลนั้นย่อมให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีปแก่สมณพราหมณ์ ผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของม้า ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของโค ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของสุนัข เขาย่อมได้ข้าว น้ำ มาลา และเครื่องอลังการต่างๆ ในกำเนิด ต่างๆ จนถึง ในกำเนิดสุนัขนั้น
ดูกร พราหมณ์ ข้อที่บุคคลเป็นผู้ฆ่าสัตว์ และอกุศลกรรมอื่นตลอดไปจนถึง มีความเห็นผิด บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของสุนัขด้วยกรรมนั้น และข้อที่ผู้นั้นเป็นผู้ที่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีปแก่สมณพราหมณ์ ผู้นั้นย่อมได้ข้าว น้ำ มาลา และเครื่องอลังการต่างๆ ในกำเนิดสุนัขนั้น ด้วยกรรมนั้น
มีสุนัขที่น่าสงสารมากมาย ไม่ได้ข้าว ไม่ได้น้ำ ไม่ได้อะไรต่างๆ แต่ถ้าสุนัข หรือโค หรือช้าง หรือม้าตัวใดได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็ต้องมีเหตุปัจจัย คือ ต้องเป็นบุคคลที่ได้กระทำการให้ทานแก่สมณพราหมณ์ด้วยสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งแม้ว่าจะได้ทำอกุศลกรรม และเกิดในกำเนิดของสัตว์ดิรัจฉาน แต่ก็ยังมีการสะสมของกุศลกรรมที่ ติดตามมาให้ผล
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร พราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่มีความอยากได้ของผู้อื่น มีจิตไม่ปองร้าย มีความเห็นชอบ ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน มาลา ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก และเครื่องประทีปแก่สมณพราหมณ์ บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของพวกมนุษย์ เขาย่อมได้เบญจกามคุณอันเป็นของมนุษย์ในมนุษย์โลกนั้น
ข้อความซ้ำต่อไปจนถึง บุคคลที่เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ และอกุศลกรรมอื่น มีความเห็นชอบ และให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน เป็นต้น แก่สมณพราหมณ์ บุคคลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดา เขาย่อมได้เบญจกามคุณอันเป็นทิพย์ในเทวโลกนั้น ด้วยกรรมนั้น ดูกร พราหมณ์ แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผล
ชาณุสโสณีพราหมณ์กราบทูลว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีแล้ว ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้อที่แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผล นี้เป็นของควรเพื่อให้ทานโดยแท้ เป็นของควรเพื่อกระทำศรัทธาโดยแท้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร พราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนี้ ข้อนี้เป็นอย่างนี้ ดูกร พราหมณ์ แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผล
ชาณุสโสณีพราหมณ์กราบทูลว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้อความละต่อไป ขอพระโคดมผู้เจริญ โปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
จบสูตรที่ ๑๐ จบชาณุสโสณีวรรคที่ ๒
ไม่ว่าเมื่อจุติแล้วจะไปเกิดในกำเนิดใด ทานที่ได้กระทำแล้วย่อมให้ผล แม้ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือว่าในกำเนิดของมนุษย์ ในกำเนิดของเทพ เรื่องของเปรต เรื่องของภูมิอีกภูมิหนึ่ง ซึ่งปรากฏแก่บางท่านให้เห็นให้รู้ ไม่ใช่ทั่วไป แต่เป็นภูมิที่มีจริง
ถ. ฐานะของเปรตว่าดีกว่าสัตว์ดิรัจฉาน เพราะว่าเปรตสามารถที่จะอนุโมทนาส่วนกุศลที่มีผู้อุทิศให้นั้นได้ สัตว์ดิรัจฉานนั้นอนุโมทนาไม่ได้ แต่สัตว์ดิรัจฉานจะได้รับโดยตรงเลยเมื่อมีผู้ให้ทานนั้น ทำไมสัตว์ดิรัจฉานจึงเลวกว่าเปรต
สุ. เรื่องเปรตนี้มีมาก เปรตบางพวกมีวิมาน มีทิพยสมบัติ เฉพาะบาง กาล คือ เสวยสุขแต่ตอนกลางวัน ตอนกลางคืนได้รับทุกข์ทรมาน เพราะว่าเป็นอบายภูมิ ไม่เหมือนกับภูมิเทพ หรือภูมิมนุษย์ที่สามารถจะรื่นเริงมีความสุขได้ตลอดเวลา สำหรับภูมิดิรัจฉาน ไม่รู้อะไร แต่เปรตยังรู้กรรม และสามารถที่จะเกิดกุศลปีติอนุโมทนา และพ้นจากกรรมได้ตามควรแก่กรรมที่ได้กระทำมา
อาหารที่ให้แก่สัตว์ สัตว์ไม่อนุโมทนา ส่วนพวกเปรต ทั้งๆ ที่ทุกข์ทรมาน แต่ถ้าใครอุทิศส่วนกุศลให้ และเปรตได้รับทราบ เกิดปีติโสมนัสอนุโมทนา ก็สามารถที่จะได้รับสมบัติที่เป็นทิพย์ได้ พ้นจากสภาพของความเป็นเปรตได้ หรือมิฉะนั้นก็ยังดำรงชีพอยู่ต่อไปได้ด้วยปัตติทานมัยที่บุคคลอื่นอุทิศส่วนกุศลให้ และเปรตบางจำพวกก็ยังมีความสุขสบายเฉพาะบางกาลด้วย
ที่มา ...