ขณะที่ใกล้จะจุติ และจิตผ่องใส ปฏิสนธิในสุคติภูมิได้
ถ. เรื่องแม่ไก่ฟังธรรม แม่ไก่ป้วนเปี้ยนหากินอยู่ พระกำลังเทศน์อยู่ แม่ไก่ก็มาฟังธรรม จะฟังจริง หรือไม่จริง ผมไม่ทราบ แต่ท่านอ้างว่าอย่างนั้น แม่ไก่ฟังธรรม พอตายไป ไปสู่สุคติ อย่างนี้จะเรียกว่า แม่ไก่ไม่ได้อนุโมทนาหรือ
สุ. ท่านกล่าวถึงเรื่องของจิตที่ผ่องใส เป็นกุศลก่อนจุติ
ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ มหารถวรรคที่ ๕ มัณฑูกเทวปุตตวิมาน มีข้อความว่า
พระผู้มีพระภาคตรัสถามมัณฑูกเทพบุตรว่า
ใครมีวรรณะงามยิ่งนัก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ และยศ ยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว ไหว้เท้าทั้งสองของเราอยู่
มัณฑูกเทพบุตรกราบทูลว่า
เมื่อชาติก่อนข้าพระองค์เป็นกบ เที่ยวหาอาหารอยู่ในน้ำ เมื่อข้าพระองค์กำลังฟังธรรมของพระองค์อยู่ คนเลี้ยงโคได้ฆ่าข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงดูฤทธิ์ ยศ อานุภาพ ผิวพรรณ และความรุ่งเรืองของข้าพระองค์ผู้มีจิตเลื่อมใสครู่หนึ่งเท่านั้น
ข้าแต่พระโคดม ก็ผู้ใดได้ฟังธรรมของพระองค์สิ้นกาลนาน ผู้นั้นพึงได้บรรลุนิพพาน อันเป็นฐานะไม่หวั่นไหว เป็นสถานที่ๆ ไปแล้วไม่เศร้าโศกเป็นแน่
จบมัณฑูกเทวปุตตวิมาน ที่ ๑
ตัวอย่างนี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่ใกล้จะจุติ และจิตผ่องใสด้วยความเลื่อมใส จะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิได้ เพราะฉะนั้น ไม่ควรที่จะ ประมาท โดยเฉพาะคำของเทพบุตรที่กล่าวว่า
ขอพระองค์ทรงดูฤทธิ์ ยศ อานุภาพ ผิวพรรณ และความรุ่งเรืองของ ข้าพระองค์ผู้มีจิตเลื่อมใสครู่หนึ่งเท่านั้น
ข้าแต่พระโคดม ก็ผู้ใดได้ฟังธรรมของพระองค์สิ้นกาลนาน ผู้นั้นพึงได้บรรลุ นิพพาน อันเป็นฐานะไม่หวั่นไหว เป็นสถานที่ๆ ไปแล้วไม่เศร้าโศกเป็นแน่
แม้เพียงครู่เดียวที่จิตเลื่อมใสก่อนจะจุติก็ให้ผลมาก เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเป็นผู้ที่ฟังธรรมอยู่เป็นประจำ มีจิตเลื่อมใสเจริญกุศล เทพบุตรนั้นก็กล่าวว่า ย่อมสามารถที่จะบรรลุถึงนิพพานได้ เพราะท่านเองก็เป็นแต่เพียงผู้ที่เลื่อมใสชั่วขณะเล็กน้อยก่อนที่จะจุติ ซึ่งที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะเหตุว่า เรื่องของกรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิมีหลายประเภท ถ้าไม่มีครุกรรมซึ่งเป็นกรรมหนักที่ได้กระทำแล้ว ก็เป็นโอกาสของอาสันนกรรม กรรมที่ใกล้จะจุติ ใกล้จะตาย หรือว่าถ้าไม่มีอาสันนกรรม ก็เป็นโอกาสของอาจิณณกรรม กรรมที่ทำเสมอๆ บ่อยๆ เนืองๆ แล้วแต่ว่าปกติของท่านจะเป็นผู้ที่กระทำอกุศลกรรมหรือกุศลกรรม นอกจากนั้นก็มีกตัตตากรรม คือ กรรมที่เป็นเศษของกรรมที่เหลือมา ก็ยังสามารถเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิได้
เพราะฉะนั้น การที่จิตจะเลื่อมใส ผ่องใสเมื่อใกล้จะตายนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรจะเกื้อกูล เพราะเหตุว่าการเกื้อกูลกัน ไม่ว่าจะเป็นญาติ มิตรสหายก็ตาม ท่านควรจะเกื้อกูลทั้งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้เขาเจริญกุศลยิ่งขึ้นด้วยการฟังธรรม ศึกษาธรรม เข้าใจธรรม ปฏิบัติธรรม นั่นเกื้อกูลในระหว่างที่มีชีวิต แต่ว่าในขณะที่ใกล้จะตาย ถ้าบุคคลนั้นไม่น้อมจิตไปทางกุศล ท่านก็ควรที่จะให้บุคคลนั้นได้ระลึกถึงกุศล จะเป็นการระลึกถึงทาน ถึงศีล หรือระลึกถึงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นการเตือนให้เจริญสติปัฏฐานในขณะนั้นก็ได้ ซึ่งกุศลจิตที่ผ่องใสในขณะนั้นจะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิเกิดได้
ท่านถามว่า ข้อที่ยังสงสัยกันอยู่ คือ แม่ไก่นั้นฟังธรรมรู้เรื่องหรือ
จิตที่ผ่องใสเป็นกุศล กับขณะที่เป็นอกุศล เป็นลักษณะที่ต่างกัน ในขณะที่จิตของท่านผ่องใสด้วยความเลื่อมใส ด้วยกุศลจิตในเสียง โดยเฉพาะเสียงของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งประกอบด้วยพระมหากรุณาคุณ แม้ว่าแม่ไก่จะฟังไม่รู้เรื่อง กบจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ว่าเคยอบรมมาที่จิตจะเลื่อมใส ปีติในเสียงที่ประกอบด้วยกรุณาเมตตา เพราะฉะนั้น แม้ขณะนั้นเพียงเสียงที่เป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดก่อนจุติ ก็ยังสามารถเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิได้
ถ. แต่เรื่องจริงๆ มีในธรรมบทประโยค ๓ ที่ผมเรียนมา คือ นิมิตฺตสทฺทํ ใช้ว่าอย่างนั้น ค้างคาวลูกไก่อยู่ในถ้ำ พระท่านไปสวดมนต์ พระท่านสวดมนต์ก็ฟังเสียงพระ ในนั้นใช้ศัพท์ว่าอย่างนี้ ไม่ใช่อนุโมทนา อนุโมทนา แปลว่า บันเทิงตาม สทฺท นิมิตฺตํ สุตวา ว่าอย่างนั้น คือ ฟังเครื่องหมายของเสียง และเกิดชอบใจ ตายไปก็เกิดเป็นเทวดา นิมิตฺตสทฺทํ ไม่ใช่อนุโมทนา สัตว์ต่างๆ จะรู้ภาษาคนผมว่ายากเหมือนกัน สทฺท นิมิตฺตํ สุตวา สุตวา แปลว่า ฟัง สทฺท นิมิตฺตํ คือ เครื่องหมายของเสียง ฟัง และนึกว่านี่เสียงดี คล้ายๆ ว่าอย่างนั้น พอตายแล้วไปสวรรค์
สุ. เพราะฉะนั้น ท่านที่เป็นผู้น้อมใจไปในทางกุศลอยู่เสมอๆ อารมณ์ใดเป็นที่ตั้งที่จะให้เกิดความปีติเลื่อมใส ก็เลื่อมใสในสิ่งที่ควรเลื่อมใส ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติอย่างนี้ เวลาที่ใกล้จะจุติ จะมีภาพ คือ รูปปรากฏทางตาเป็นพระภิกษุสงฆ์ หรือพระพุทธรูป หรือมีเสียงสวดมนต์ มีเสียงธรรม มีเสียงที่ประกอบด้วยความเมตตากรุณา และเกิดปีติเลื่อมใสขึ้นในขณะนั้น ก็เป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิได้
ถ. ท่านอาจารย์อธิบายลักษณะนี้ ผมเห็นตามได้ และเห็นตามว่าเป็นความจริงเสียด้วย เพราะว่ามีบางครั้งบางโอกาส ที่ท่านทั้งหลายได้ผ่านไปในที่ที่มีการสวดมนต์ ซึ่งที่จริงการสวดมนต์นั้นก็ไม่มีใครรู้เรื่องว่าเขาสวดอะไร เพราะเป็นภาษาบาลี แต่แม้กระนั้นก็ยังทำให้จิตใจสงบ เกิดความผ่องใสขึ้นได้ ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน แต่อาศัยเสียงอย่างที่อาจารย์ว่านี่เอง ก็นับว่าถูกต้อง
สุ. ข้อนี้ท่านคงรับว่าเป็นความจริง มีท่านท่านใดบ้างที่เข้าใจความหมายของคาถา หรือคำสวดมนต์โดยตลอด ทั้งๆ ที่ท่านสามารถสวดได้โดยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบด้วยภาษาบาลี แต่ว่าบางท่านไม่เข้าใจความหมายเลย โดยเฉพาะเด็กๆ อาจจะสวดมนต์เก่ง จำได้ถูกต้อง แต่ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร
ที่มา ...