การระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ คือ พระอริยเจ้า


    สำหรับการเจริญสมถภาวนาโดยการระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ คือ พระอริยเจ้า โดยมากท่านผู้ฟังก็ทราบแล้วว่า เป็นการระลึกถึงคุณที่กล่าวกันเสมอๆ หรือสวดพระคุณของพระอริยเจ้าที่ว่า

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว

    นี่คือคุณของพระอริยสงฆ์ซึ่งปฏิบัติดีแล้ว หมายความถึงเป็นผู้ที่ปฏิบัติตาม พระธรรมวินัย ไม่ผิด ในการอบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ จนกระทั่งสามารถที่จะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้าได้

    อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว

    คือ เป็นผู้ที่ละข้อปฏิบัติที่ไม่ตรง โดยการปฏิบัติตรง ไม่คด ไม่งอ ไม่โค้ง โดยการละโทษที่คดโกงทางกาย ทางวาจา ทางใจ

    ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อญายธรรม

    ญายธรรม หมายความถึงพระนิพพาน ท่านไม่ได้ปฏิบัติเพื่ออย่างอื่นในการที่จะเป็นพระอริยเจ้า ต้องมุ่งที่จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อดับกิเลสเป็นสมุจเฉท

    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติชอบยิ่ง ควรแก่สามีจิกรรม

    สามีจิกรรม คือ การต้อนรับด้วยความเคารพ เวลาที่ท่านผู้ฟังพบท่านผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งควรแก่การต้อนรับด้วยความเคารพ ท่านก็ลุกขึ้นต้อนรับ และก็มีวัตถุสิ่งใดที่จะเป็นเครื่องสักการะ เป็นเครื่องต้อนรับ ก็เป็นสามีจิกรรม คือ การต้อนรับด้วยความเคารพ

    ยะทิทัง

    แปลว่า เหล่านี้เหล่าใด

    จัตตาริ ปุริสะยุคานิ

    คำว่า คู่แห่งบุรุษ ๔ คือ โดยสามารถแห่งคู่ ท่านผู้ตั้งอยู่ในปฐมมรรค และปฐมผล คือ โสตาปัตติมรรค และโสตาปัตติผล ทุติยมรรค และทุติยผล คือ สกทาคามิมรรค และสกทาคามิผล ตติยมรรค และตติยผล คือ อนาคามิมรรค และอนาคามิผล จตุตถมรรค และจตุตถผล คือ อรหัตตมรรค และอรหัตตผล

    อัฏฐะปุริสะปุคคะลา

    บุรุษบุคคล ๘ ด้วยอำนาจมรรคหนึ่ง ผลหนึ่ง โดยเรียงตัวบุคคล

    เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    นี้สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค ได้แก่ บุรุษ ๔ คู่ ด้วยสามารถแห่งคู่ บุรุษบุคคล ๘ โดยเรียงตัว เหล่านี้ใด นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค

    อาหุเนยโย

    ผู้ควรแก่ของบูชา

    คำว่า อาหุนะ คือ วัตถุที่เขานำมาบูชา แม้แต่ทางไกล คือ บางท่านก็นำมาจากที่ไกลเพื่อให้แก่คนที่มีศีลทั้งหลาย พระสงฆ์เป็นผู้ควรรับอาหุนวัตถุ คือ วัตถุที่เขานำมาบูชา เพราะทำให้วัตถุทานนั้นมีผลมาก ซึ่งข้อความใน วิสุทธิมรรค กล่าวถึง พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า

    ก็สัตว์ใดพึงบำเรอไฟในป่าตั้ง ๑๐๐ ปี ส่วนสัตว์ใดพึงบูชาท่านที่อบรมตนแล้ว ผู้เดียวแม้เพียงชั่วครู่ การบูชานั้นแลของคนหลังนี้ ประเสริฐกว่าการบูชาของคนแรกนั้น เพราะเหตุนั้น พระสงฆ์จึงควรแก่การบูชา

    ปาหุเนยโย

    ผู้ควรแก่ของต้อนรับ

    ปาหุนะ คือ วัตถุสำหรับต้อนรับแขก คือ วัตถุทานที่จัดแจงตระเตรียมตบแต่งไว้ด้วยสักการะ เพื่อประโยชน์แก่ญาติมิตรซึ่งเป็นที่รักที่ชอบพอ สำหรับผู้ที่มาแล้วจากทิศน้อยทิศใหญ่ แต่ว่าปาหุนวัตถุนั้นก็ควรแก่พระสงฆ์โดยแท้ เพราะว่าไม่มีแขกคนใดที่จะประเสริฐเท่าพระอริยสงฆ์ และพระอริยสงฆ์นั้นก็ย่อมจะปรากฏเฉพาะในกาลที่พระศาสนายังตั้งอยู่ ถ้าพระศาสนาหมดสิ้นไป ก็ไม่มีผู้ที่ควรต้อนรับที่เป็นแขกเสมอเท่ากับผู้ที่เป็นพระอริยสงฆ์ ด้วยเหตุนี้พระสงฆ์จึงเป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ

    ทักขิเณยโย

    ผู้ควรแก่การทักขิณา

    ทักขิณา คือ ทานที่บุคคลพึงให้โดยเชื่อปรโลก คือ ชาติหน้า หรือโลกหน้า ท่านเรียกว่า ทักขิณา เวลาที่ท่านผู้ฟังใส่บาตร หรือว่าทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ญาติมิตร ในขณะนั้นท่านก็เป็นผู้ที่มีความเชื่อในปรโลก คือ โลกหน้า และพระสงฆ์เป็นผู้ที่เป็นทักขิเณยโย คือ ผู้ที่ควรแก่ทักขิณา เพราะเป็นผู้ที่สามารถรับทักขิณานั้น และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้

    อัญชะลีกะระณีโย

    ผู้ควรยกมือไหว้บนเศียรทีเดียว

    เพราะย่อมสูงกว่าการไหว้คนธรรมดา

    อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

    เป็นเนื้อนาบุญของโลกอย่างยอดเยี่ยม ซึ่งไม่มีนาบุญอื่นเทียบเท่า

    เพราะว่าบุญทั้งหลายอาศัยพระสงฆ์จึงงอกงาม เนื่องจากทำให้เกิดปีติโสมนัสเวลาท่านให้วัตถุแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดที่การประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสมไม่ควร ย่อมไม่ทำให้จิตของท่านผ่องใส แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระอริยเจ้านั้น ย่อมทำให้ท่านเกิดความปีติ โสมนัส ผ่องใส ประกอบด้วยปัญญาที่เห็นคุณธรรมของผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า เพราะฉะนั้น พระอริยสงฆ์ทั้งหลายเป็นที่งอกงามแห่งบุญทั้งหลายของโลก เพราะท่านย่อมจะใช้ปัจจัยนั้นให้เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ โดยที่ว่าปัจจัยนั้นย่อมให้กำลัง ให้ชีวิตสามารถที่จะประกอบเจริญกุศลธรรมยิ่งขึ้น และยังมีส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่นเวลาที่ท่านสั่งสอน แสดงธรรม เผยแพร่ เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลกยิ่งขึ้น

    ข้อความใน ปรมัตถโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ แสดงความหมายของคำว่า “พระสงฆ์” มีข้อความว่า

    จตุอริยมคฺคสมงฺคีนํ จตุสามญฺญผลสมาธิวาสิต ขนฺธสนฺตานานญฺจ ปุคฺคลานํ สมุโห ทิฏฺฐิสีลสํฆาเตน สงฺฆาตตฺตา สํโฆ

    แปลว่า หมู่แห่งบุคคลทั้งหลายที่ประกอบพร้อมด้วยอริยมรรคทั้ง ๔ และแห่งบุคคลทั้งหลายผู้มีขันธสันดานอันอบรมแล้วด้วยสมาธิ คือ สามัญผล ๔ ชื่อว่า พระสงฆ์ เพราะเป็นผู้ประชุมกันแล้วโดยการประชุมแห่งทิฏฐิ และศีล

    คือ ท่านเป็นผู้มีทิฏฐิ คือ ความเห็นถูก และศีลเสมอกัน

    สมจริงดังพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า

    ดูกร อานนท์ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คือ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นใดอันเรารู้ยิ่งแล้วแสดงแล้ว คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ อานนท์ เธอย่อมจะไม่เห็นภิกษุ ๒ รูปที่มีวาทะต่างกันในธรรมเหล่านี้เลย ด้วยว่าปรมัตถสงฆ์นี้ อันบุคคลพึงถึงว่าเป็นสรณะ และพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ในพระสูตรทั้งหลายว่า ผู้อันบุคคลควรบูชา ผู้อันบุคคลควรคำนับ คือ ต้อนรับ ผู้ควรทักขิณา ผู้ควรอัญชลี เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก

    ก็สรณคมน์ของบุคคลผู้ถึงปรมัตถสงฆ์ว่าเป็นสรณะ หาได้แตก หาได้เศร้าหมอง เพราะการกระทำ มีการกราบไหว้ภิกษุสงฆ์ หรือภิกษุณีสงฆ์แม้อื่น หรือพระสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข หรือสมมติสงฆ์ หรือประเภทแห่งสงฆ์ มีจตุวรรค เป็นต้น หรือแม้บุคคลคนเดียว หรือไหว้ผู้ที่บวชอุทิศเจาะจงต่อพระพุทธไปไม่ ความพิเศษในการถึงพระสงฆ์นี้ มีเพียงเท่านี้

    คือ การนอบน้อมต่อพระอริยเจ้าซึ่งเป็นพระสงฆ์ไม่แตก คือ ไม่ผิด หรือไม่เสีย เวลาที่กราบไหว้ภิกษุสงฆ์ หรือภิกษุณีสงฆ์เหล่าอื่นซึ่งไม่ใช่ปรมัตถสงฆ์ พระสงฆ์ที่เป็นสมมติสงฆ์ หรือสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายกระทำสังฆกรรมเป็นจตุวรรค เป็นต้น หรือแม้ภิกษุบุคคลที่บวชอุทิศเจาะจงต่อพระผู้มีพระภาค การไหว้บุคคลเหล่านั้นซึ่งแม้มิใช่ อริยสงฆ์ เป็นแต่เพียงสมมติสงฆ์ ก็ไม่ทำให้แตก หรือว่าผิด สำหรับผู้ที่ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ ซึ่งผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า ไม่ใช่สังฆรัตนะที่เป็นสังฆานุสสติ

    ใน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต สังฆโสภณสูตร พระผู้มีพระภาคทรงแสดงบุคคล ๔ จำพวก ซึ่งเป็นสังฆโสภณ มีข้อความว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ เป็นผู้เฉียบแหลม ได้รับแนะนำดีแล้ว เป็นผู้แกล้วกล้า เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมยังหมู่ให้งาม (สงฆ์ แปลว่า หมู่) ๔ จำพวกเป็นไฉน ดูกร ภิกษุทั้งหลาย คือ ภิกษุ ๑ ภิกษุณี ๑ อุบาสก ๑ อุบาสิกา ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล เป็นผู้เฉียบแหลม ได้รับแนะนำดีแล้ว เป็นผู้แกล้วกล้า เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมยังหมู่ให้งาม ฯ

    บุคคลใดเป็นผู้ฉลาด แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ผู้ทรงธรรม ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม บุคคลเช่นนั้นเราเรียกว่า ผู้ยังหมู่ให้งาม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นพหูสูตรเหล่านี้แล ย่อมยังหมู่ให้งาม แท้จริง บุคคลเหล่านี้ เป็นผู้ยังหมู่ให้งาม ฯ

    ยากไหมการที่จะเป็นผู้ยังหมู่ให้งาม โดยการที่บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้า หรือว่าถ้าเป็นพระภิกษุสงฆ์ ก็ต้องเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 775


    หมายเลข 13002
    29 ส.ค. 2567