ท่านพระอานนท์บรรลุพระอรหันต์


    ท่านอาจารย์ การที่ท่านพระอานนท์บรรลุพระอรหันต์ เท่าที่ปรากฏใน พระวินัยปิฎก จุลวรรค ทุติยภาค ปัญจสติกขันธกะ มีข้อความว่า

    ข้อ ๖๑๗

    ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์คิดว่า พรุ่งนี้เป็นวันประชุม ข้อที่เรายังเป็น เสกขบุคคลอยู่จะพึงไปสู่ที่ประชุมนั้นไม่ควรแก่เรา จึงยังราตรีเป็นส่วนมากให้ล่วงไปด้วยกายคตาสติ ในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี จึงเอนกายด้วยตั้งใจว่าจักนอน แต่ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน และเท้ายังไม่ทันพ้นจากพื้น ในระหว่างนั้นจิตได้หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เป็นพระอรหันต์ได้ไปสู่ที่ประชุม ฯ

    ข้อความมีเพียงเท่านี้ ซึ่งปกติทุกท่านก็จะต้องนอน เพราะฉะนั้น ท่าน พระอานนท์ก็เช่นเดียวกัน ในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี จึงเอนกายด้วยตั้งใจว่าจักนอน แต่ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน และเท้ายังไม่ทันพ้นจากพื้น ในระหว่างนั้นจิตได้หลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น

    ท่านผู้ฟังจะเห็นความเป็นอนัตตาของอรหัตตมรรค อรหัตตผล และของสภาพธรรมซึ่งจะเกิดขึ้นในขณะไหน อย่างไรก็ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยควรที่จะให้เกิดขึ้นขณะใด อย่างไร ก็เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้น

    ผู้ฟัง การบรรลุคุณธรรมถึงขั้นพระอรหันต์ของท่านพระอานนท์ ที่ผมฟังๆ แล้ว รู้สึกว่าปัญญาตัดกิเลสขั้นอรหัตตมรรคผล อรหัตตผล คล้ายกับว่า ผุดขึ้นมาเองโดยไม่ต้องทำ ไม่ต้องมนสิการ ไม่ต้องอบรมอะไรทั้งสิ้น เป็นอย่างนั้นหรือไม่

    ท่านอาจารย์ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมย่อมทราบหนทางข้อปฏิบัติว่า การที่สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะใด ปัญญาจึงสามารถที่จะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นได้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้หนทางที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้ว ย่อมมีปัจจัยที่จะให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และปัญญาก็รู้ชัดในเหตุปัจจัยว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

    เพราะฉะนั้น ผู้ซึ่งรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยเจ้าแล้ว สติจะไม่เกิด ไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง ผมเดาว่า ก่อนที่ท่านพระอานนท์จะบรรลุเป็นพระอรหันต์นั้น ท่านก็ทำความเพียร พิจารณากายคตาสติเกือบจะตลอดคืน เมื่อท่านเห็นว่าไม่บรรลุแล้วคืนนี้ ก็คิดว่าจะนอน ขณะที่คิดว่าจะนอน ขณะนั้นแสดงว่า ท่านไม่มีความตั้งใจที่จะพิจารณากายคตาสติ เมื่อจะนอนแล้ว ปัญญาก็ผุดขึ้นมาเอง

    ท่านอาจารย์ ข้อความที่ท่านกล่าวมานี้ ไม่มีในพระไตรปิฎก ข้อความใน พระวินัยปิฎก จุลวรรค ทุติยภาค ปัญจสติกขันธกะ มีว่า

    พระอานนท์สำเร็จพระอรหัต

    ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์คิดว่า พรุ่งนี้เป็นวันประชุม ข้อที่เรายังเป็น เสกขบุคคลอยู่จะพึงไปสู่ที่ประชุมนั้นไม่ควรแก่เรา จึงยังราตรีเป็นส่วนมากให้ล่วงไปด้วยกายคตาสติ ในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี จึงเอนกายด้วยตั้งใจว่าจักนอน แต่ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน และเท้ายังไม่ทันพ้นจากพื้น ในระหว่างนั้นจิตได้หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เป็นพระอรหันต์ได้ไปสู่ที่ประชุม ฯ

    ไม่มีข้อความอย่างที่ท่านผู้ฟังกล่าวเลยว่า ท่านเพียรจนกระทั่งท้อถอยว่าไม่บรรลุ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ระลึกรู้ลักษณะของกายคตาสติ หรืออะไรอย่างนั้น ไม่มีเลย ทำไมจึงคิดหรือเข้าใจเองว่า ท่านพระอานนท์เป็นอย่างนั้นๆ

    นี่คือความเข้าใจผิดของผู้ซึ่งไม่ทราบว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายนั้นท่านรู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้น ไม่มีตัวตนที่ทำกายคตาสติ แต่ถ้าบุคคลใดยังมีความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นตัวตน ก็คิดว่าท่านพระอานนท์นั้นก็คงจะมีความพากเพียรด้วยความตั้งใจที่เป็นตัวตนว่า จะยังราตรีเป็นส่วนมากให้ล่วงไปด้วยกายคตาสติ

    นี่คือความเห็นของผู้ที่ยังมีตัวตน คิดว่า ท่านพระอานนท์นั้นมีตัวตนที่ตั้งใจจะทำอย่างนั้น แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ท่านรู้ว่าสภาพธรรมทั้งหมดไม่ใช่ตัวตน การที่สติจะเกิดขึ้นน้อมไปสู่นามหรือรูปทางหนึ่งทางใด ก็มีปัจจัยที่จะให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริงตามที่ท่านสะสมมา จิตของท่านพระอานนท์จะน้อมไประลึกรู้ลักษณะของนามธรรมใด รูปธรรมใด ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ซึ่งท่านก็ทราบว่าไม่ใช่ตัวตน และการนอนพักผ่อนนี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น เมื่อถึงกาลที่ท่านจะพักผ่อน ท่านก็นอนพักผ่อนด้วยสติ และในขณะนั้นถ้าไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมบรรลุความเป็นพระอรหันต์ได้

    เพราะฉะนั้น อย่าเข้าใจผิดคิดว่า ท่านพระอานนท์ยังมีตัวตนที่พากเพียร และก็มีความท้อถอยเมื่อได้พากเพียรเป็นเวลานานแล้วก็ไม่บรรลุ ก็เลยเลิกความเพียร และก็นอนเสีย ไม่ใช่อย่างนั้น

    ผู้ฟัง ตามที่ท่านอาจารย์ได้อธิบายถึงท่านพระอานนท์ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ถ้าพูดถึงเนื้อความข้อที่ท่านบรรลุนั้น ก็เพราะว่าท่านพระอานนท์เป็นพหูสูต ท่านได้รับฟังมามาก ฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเทศนาไม่ว่าแห่งหนตำบลใด แม้ไม่ได้ตามเสด็จไปด้วย พระผู้มีพระภาคก็ต้องมาตรัสแสดงธรรมให้ท่านพระอานนท์ฟัง เพราะฉะนั้น ท่านพระอานนท์ท่านเป็นผู้ที่ฟังมาก ระลึกรู้มาก นี่ก็เกี่ยวกับสติ เพราะฉะนั้น ท่านก็ระลึกรู้อย่างนี้อยู่บ่อยๆ อบรมไว้มาก เมื่อถึงวาระที่ท่านจะต้องเข้าไปสู่ที่สังคายนา ถ้าหากท่านยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านก็จะไปเข้าประชุมไม่ได้ ตามธรรมดาความเพียรก็คงจะมีอยู่บ้าง เพราะว่าระลึกรู้อยู่เรื่อยๆ เมื่อท่านได้เจริญสติหรือระลึกรู้ และท่านก็เป็นพหูสูตด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อระลึกรู้บ่อยๆ คล้ายๆ กับทำเหตุไว้เช่นนี้แล้ว ผลจะต้องปรากฏในวันหนึ่ง อย่างที่ท่านได้บรรลุมรรคผล เพราะฉะนั้น การเจริญสติก็คงจะตรงกับหลักที่ท่านอาจารย์ได้อธิบายอยู่ ข้อนี้เป็นหลักความจริง เพราะว่าการเจริญสติจะระลึกรู้เมื่อไรก็ได้ โดยที่ไม่ต้องอ้างกาล อ้างเวลา จะทำกิจการงานใดๆ ก็ได้ เมื่อระลึกรู้อยู่บ่อยๆ แล้ว ก็คล้ายๆ กับฝึกฝนอบรมให้สตินั้นปรากฏเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าสติจะเป็นอนัตตา นามรู้ก็เป็นอนัตตา แต่ว่าสภาพของธรรมนั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นปกติธรรมดาจริงๆ ฉะนั้น ที่ท่านพระอานนท์ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็คงเป็นเพราะว่าท่านได้อบรมมามาก ได้ฟังมากนั่นเอง เพราะฉะนั้น การเจริญสตินี้จึงมีผลมากจริงๆ

    ท่านอาจารย์ การอบรมอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า กับผู้ที่เป็นพระอริยเจ้าที่ยังเป็นเสกขบุคคล คือ ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ย่อมต่างกัน สำหรับผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า ยังมีความยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลอยู่ เพราะฉะนั้น บางครั้งที่สติเกิด ถ้าไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้นโดยทั่ว โดยละเอียด ย่อมยังยึดถือสติบ้าง ปัญญาบ้าง สังขารขันธ์อื่นๆ บ้าง เวทนา คือ ความรู้สึกบ้าง หรือสัญญา คือ ความจำบ้าง ว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้าแล้วเท่านั้นจึงจะดับการยึดถือนามธรรมรูปธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้

    ผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยเจ้าอบรมเจริญสติปัฏฐานเพื่อที่จะดับความเห็นผิดที่ยึดถือนามธรรม และรูปธรรมเป็นตัวตน เมื่อบรรลุความเป็นพระอริยเจ้าแล้ว คือ เป็น พระโสดาบันบุคคลแล้ว ไม่มีความเห็นผิด ไม่ยึดถือนามธรรม และรูปธรรมใดๆ ทั้งสิ้นว่า เป็นตัวตน เพราะฉะนั้น ท่านพระอานนท์ที่ท่านเจริญสติระลึกรู้ลักษณะสภาพของนามธรรม และรูปธรรม ย่อมต่างกับผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล ไม่ว่าสติของท่านจะน้อมระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมใดรูปธรรมใด ก็ไม่มีความเห็นผิดที่จะยึดถือสภาพนามธรรมนั้นรูปธรรมนั้นว่า เป็นตัวตน และเมื่อปัญญาได้ประจักษ์ความไม่เที่ยง ความเกิดดับของนามธรรม และรูปธรรมสมบูรณ์ขึ้น ท่านก็บรรลุคุณธรรมถึงความเป็นพระสกทาคามีบุคคล พระอนาคามีบุคคล และพระอรหันต์ ตามลำดับ

    ข้อความที่พระผู้มี พระภาคทรงพยากรณ์ว่า ท่านพระอานนท์จะปรินิพพานในอัตภาพนี้ หมายความว่า ท่านจะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ มีปรากฏใน อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ อานันทวรรคที่ ๓ จูฬนีสูตร

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 601


    หมายเลข 13010
    12 ส.ค. 2567