จะเชื่อได้อย่างไรว่า ตายแล้วเกิด มีนรก สวรรค์


    ที่ศรีลังกา ที่แคนดี้ มีโอกาสได้ไปที่โรงเรียนเด็กแห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนที่น่าสนใจมาก ชื่อมหาเวรีมหาวิทยาลัย โดยมี Mr. H.L. Jay เป็นครูใหญ่ เป็นผู้ที่พยายามอบรมกุลบุตรกุลธิดาให้เป็นชาวพุทธที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม และการอบรมจิตใจ

    โรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างจะขัดสน ไม่มีอุปกรณ์ในการศึกษามากนัก เด็กบางคนไม่มีสมุดเลย แต่ครูก็ไม่ว่าอะไร ให้ใช้สิ่งอื่นแทนได้ และฝึกเด็กให้รู้จักประหยัด ใช้สิ่งอื่นชดเชยในสิ่งที่ไม่มี ไม่มีสมุดก็ใช้กระดาษอื่น หรือส่วนของกระดาษพิมพ์ ซึ่งโดยมากมักจะพิมพ์หน้าเดียว อีกหน้าหนึ่งทิ้งไป ครูใหญ่โรงเรียนนี้ก็อนุญาตให้เด็กเหล่านั้นเอากระดาษเหล่านั้นมาใช้ในการเรียนได้

    และในวันนั้นก็ได้มีโอกาสไปตอบปัญหาธรรมของเด็กๆ ลองคิดว่า เด็กจะถามอะไร ส่วนใหญ่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ที่นี่หรือที่ไหน ก็มักจะสนใจเรื่องตายแล้วเกิด เรื่องหนึ่ง และเรื่องผลของกรรมอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ และเชื่อได้สำหรับเด็กๆ เช่น เรื่องพระอินทร์ซึ่งได้มาเฝ้าพระผู้มีพระภาคตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเป็นต้น และเรื่องสวรรค์ เรื่องนรก เป็นเรื่องที่เด็กๆ สนใจมาก

    เด็กถามว่า จะเชื่อได้อย่างไรว่ามีนรกหรือสวรรค์ ซึ่งความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนรก สวรรค์ เรื่องพระอินทร์ หรือเรื่องตายแล้วเกิดก็ตาม สำหรับเด็กควรจะอภัยให้ได้ เพราะว่าเด็กไม่รู้อะไรก็ถามอย่างนั้น และมีความมั่นใจในผู้ใหญ่ว่า ผู้ใหญ่สามารถที่จะให้ความรู้ความเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น เด็กก็ถามทุกอย่างที่เด็กอยากจะทราบ

    แต่สำหรับผู้ใหญ่ ก็ควรที่จะได้คิดว่า ถ้าบุคคลใดถามเรื่องตายแล้วเกิด อยากจะให้พิสูจน์แบบไหน คนที่ถามต้องการคำตอบ หรือการพิสูจน์ในลักษณะใด ในลักษณะที่จะให้เห็นการตายแล้วเกิดหรืออย่างไร เป็นไปได้ไหมที่จะให้มีคนตอบให้หมดสงสัยในเรื่องตายแล้วเกิด นอกจากผู้ที่ถามเองที่จะต้องคิดว่า จะทำอย่างไรจึงหายสงสัยได้ เพราะว่าเห็นไม่ได้แน่ ใครจะไปเห็นใครตายแล้วเกิดได้ เพียงแต่รู้ได้ว่า จิตเกิดขึ้นแล้วดับได้ ขณะสุดท้ายของชีวิตนี้ ของภพนี้ ของชาตินี้ ชื่อว่าตาย และก็ตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งเมื่อยังมีกรรม ยังมีกิเลส ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ต้องมีการเกิด

    ซึ่งการที่จะให้คนอื่นตอบโดยประการต่างๆ สักเท่าไร ก็ไม่มีวันที่จะหมดความสงสัยไปได้ เพราะฉะนั้น แทนที่จะถาม ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ตนเองนี้สมควรไหมที่จะถาม และเมื่อถามแล้ว ต้องการคำตอบชนิดใดที่จะให้หมดความสงสัยได้ เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นได้ด้วยตา ไม่ใช่เรื่องที่จะได้ยินด้วยหู แต่เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาในเหตุผลว่า เป็นอย่างไร

    ถ. ทางตานี้ก็เห็นได้

    สุ. ใครล่ะจะทำ หรือเพียรที่จะทำ เพียงแต่ต้องการที่จะให้ตอบเท่านั้น เหมือนกับจะดูว่า ผู้ตอบจะตอบอย่างไรเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ก็ตอบไปว่า ต้องการพิสูจน์อย่างไรจึงจะเชื่อ เพราะว่าเห็นไม่ได้ แต่ถ้ามีเหตุ ผลก็ต้องมี และถ้ายังไม่ใช่ เป็นพระอรหันต์ กิเลสยังมี กรรมยังมี ก็จะต้องมีการเกิดต่อไป


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 671


    หมายเลข 13022
    1 ก.ย. 2567