ทำอย่างไรจึงจะทราบว่า ใครเป็นพระอรหันต์


    ได้สนทนาธรรมกับบางท่านที่เริ่มสนใจในพระธรรม ท่านผู้นั้นก็กล่าวว่า ทำอย่างไรจึงจะทราบว่า ใครเป็นพระอรหันต์ ขอให้บอกได้ไหม เพราะในครั้งที่ พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานก็ได้มีการพยากรณ์ว่า ท่านผู้นั้นท่านผู้นี้เป็น พระอรหันต์ เป็นพระอนาคามี เป็นพระสกทาคามี เป็นพระโสดาบัน เมื่อพระผู้มีพระภาคยังทรงพยากรณ์ให้บุคคลทั้งหลายได้ทราบว่า ใครบ้างที่เป็นพระอริยบุคคล เพราะฉะนั้น ในสมัยนี้ ถ้ามีการบอกกล่าวให้ได้ทราบว่า ใครบ้างเป็นพระอรหันต์ ก็จะยิ่งเพิ่มศรัทธาของผู้ที่เพิ่งศึกษาที่จะได้ศึกษากับท่านผู้นั้น และประพฤติปฏิบัติตาม

    แต่พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงพยากรณ์ว่าบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นพระอรหันต์ โดยมิได้ทรงแสดงธรรมของพระอรหันต์ หรือธรรมของพระอนาคามี ธรรมของ พระสกทาคามี ธรรมของพระโสดาบันให้เข้าใจ ให้พิจารณา ให้รู้ได้ว่า บุคคลใดจะเป็นพระอรหันต์ หรือพระอนาคามี หรือสกทาคามี หรือพระโสดาบัน เพราะไม่ใช่เพียงให้เชื่อ แต่ต้องมีความรู้พอที่จะทราบถึงคุณธรรมของท่านเหล่านั้นว่า เพราะเหตุใดท่านเหล่านั้นจึงเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็น พระอรหันต์

    ถ้าไม่มีคุณธรรมของท่านเหล่านั้น ใครจะรู้ว่าบุคคลใดเป็นหรือไม่เป็นพระอริยะ นอกจากจะมีความเชื่อโดยที่ไม่รู้อะไรเลย และพระอริยสาวกที่ได้กล่าวถึงในพระไตรปิฎกทั้งหลายนี้ ท่านก็ได้ปรินิพพานไปหมดแล้ว แต่พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ เป็นสิ่งที่จะทำให้บุคคลทั้งหลายที่ได้ศึกษาแล้ว สามารถที่จะเข้าใจได้ถึงธรรมของผู้ที่เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์จริงๆ ซึ่งไม่ใช่โดยการฟังคำบอกเล่าจากบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้วเชื่อ แต่จะต้องศึกษาให้เข้าใจถึงคุณธรรมของท่านเหล่านั้นว่า คุณธรรมของท่านเหล่านั้นเป็นอย่างไร เกิดมีขึ้นได้เพราะประพฤติปฏิบัติอย่างไร ข้อปฏิบัตินั้นคืออย่างไรที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น คมกล้าจนกระทั่งสามารถที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้

    และถ้าขาดธรรมข้อปฏิบัติที่จะทำให้บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้า จะมี พระอริยเจ้าได้ไหม ก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้น จะไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่เป็นพระอริยะ และประกาศตนว่าเป็นพระอริยเจ้า โดยที่ไม่ได้แสดงหนทางข้อประพฤติปฏิบัติที่จะให้ถึงความเป็นพระอริยเจ้า

    ไม่ใช่ว่าเรียกร้องให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดมาเกิดความศรัทธา แต่จะต้องเห็นประโยชน์ของผู้ที่ฟังธรรมว่า ธรรมใดจะช่วยให้บุคคลนั้นมีความเข้าใจที่ถูกต้องในคุณธรรมของผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า และในข้อปฏิบัติที่จะอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจได้ และรู้ได้ด้วยตนเองว่า บุคคลใดสามารถหรือเป็นพระอริยเจ้าเพราะเหตุใด แต่ไม่ใช่โดยการประกาศ โดยการบอก ซึ่งถ้าใครกระทำอย่างนั้นก็น่าที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กระทำเพื่อประโยชน์อะไร

    ใครก็ตามที่ประกาศอุตริมนุษยธรรมทั้งหลาย ถ้าจะพิจารณาจริงๆ คงจะรู้ได้ไม่ยากถึงเหตุที่ทำให้บุคคลนั้นกระทำการประกาศอุตริมนุษยธรรมอย่างนั้น ว่าเพราะเหตุใด หรือว่าเพื่ออะไร โดยที่ไม่กล่าวถึงหนทางข้อปฏิบัติที่จะทำให้บุคคลทั้งหลายสามารถอบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจได้ ให้รู้ได้ในคุณธรรมของผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า และในข้อปฏิบัติที่จะอบรมเจริญปัญญาให้เกิดขึ้น

    ใน อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอกธัมมาทิบาลี ข้อ ๑๓๑ แสดงโทษของการแสดงธรรมผิดๆ มีข้อความว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงอธรรมว่าธรรม ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อ อนัตถะมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อทุกข์แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบบาปไม่มิใช่บุญเป็นอันมาก และย่อมจะยังสัทธรรมให้อันตรธาน ฯ

    ข้อสำคัญที่สุดที่จะต้องคิดถึง คือ ย่อมจะยังสัทธรรมให้อันตรธาน คือ ข้อปฏิบัติผิดยิ่งมีมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งทำให้พระสัทธรรม การที่จะเจริญหนทางข้อปฏิบัติให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยเจ้าอันตรธานเร็วเท่านั้น เพราะย่อมมีความเห็นผิด มีความเข้าใจผิดในข้อปฏิบัติ จนกระทั่งทำให้พระสัทธรรม คือ ข้อปฏิบัติที่ถูกต้องนั้นลบเลือน

    นี่คือโทษของการแสดงธรรมที่ผิด และโทษของบุคคลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียวเมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความพินาศ มิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทพยดา และมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลคนเดียวคือใคร คือ บุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริต เขาทำให้คนเป็นอันมากออกจากสัทธรรมแล้วให้ตั้งอยู่ในอสัทธรรม

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียวนี้แลเมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความพินาศ ไม่ใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทพยดา และมนุษย์ทั้งหลาย ฯ

    สำหรับบุคคลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็โดยนัยตรงกันข้าม คือ เป็นผู้ที่เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก ซึ่งย่อมจะทำให้ คนเป็นอันมากออกจากอสัทธรรมแล้วให้ตั้งอยู่ในสัทธรรม

    สำหรับการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าผู้นั้นจะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยสาวกแล้ว ท่านก็ยังเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน

    ใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค กัณฏกีสูตรที่ ๑ มีข้อความที่แสดงว่า พระอริยสาวกทั้งหลาย ท่านอยู่ด้วยธรรมใดเป็นส่วนมาก

    ข้อความมีว่า

    สมัยหนึ่ง ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระสารีบุตร และท่านพระมหาโมคคัลลานะ อยู่ ณ กันฏกีวัน (ป่าไม้มีหนาม) ใกล้เมืองสาเกต ครั้งนั้น เป็นเวลาเย็น ท่านพระ สารีบุตร และท่านพระมหาโมคคัลลานะออกจากที่พักผ่อน เข้าไปหาท่านพระอนุรุทธะ ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอนุรุทธะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้ถามท่าน พระอนุรุทธะว่า

    ดูกร ท่านอนุรุทธะ ธรรมเหล่าไหน อันภิกษุผู้เป็นเสขะพึงเข้าถึงอยู่

    ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า

    ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร สติปัฏฐาน ๔ อันภิกษุผู้เป็นเสขะพึงเข้าถึงอยู่ สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย ... ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิต ... ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ ดูกร ท่านพระสารีบุตร สติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้ อันภิกษุผู้เป็นเสขะพึงเข้าถึงอยู่.

    จบ สูตรที่ ๔

    ให้เจริญฌานหรือเปล่า

    พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านหยั่งรู้ถึงสภาพที่แท้จริงของธรรมที่กำลังปรากฏด้วยปัญญาอันยิ่งของท่านเอง เพราะฉะนั้น ท่านจะเห็นอย่างอื่นประเสริฐกว่าสติปัฏฐานได้ไหม เพราะการระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏที่ละเอียดขึ้นๆ ย่อมทำให้ปัญญาสามารถที่จะดับกิเลสได้ละเอียดขึ้นด้วย

    สำหรับผู้ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว ไม่มีความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไม่มีความสงสัยในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม แต่ยังมีปัจจัยให้กิเลสทั้งหลายเกิดได้ เช่น โลภะ ความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ โทสะ โมหะ และอกุศลธรรมทั้งหลายที่ยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท ก็เกิดได้ตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งวิจิตรมากในแต่ละวัน

    ความพอใจแต่ละขณะนี้ย่อมต่างๆ กันไป ในบางครั้งบางวันอาจจะไม่ชอบในสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่าในวันอื่นหรือว่าในกาลอื่น อาจจะมีปัจจัยที่ทำให้เกิดความพอใจในวัตถุสิ่งที่เคยเห็นก็ได้ ซึ่งแต่ก่อนนี้อาจจะไม่เคยชอบ ไม่เคยพอใจ เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันจริงๆ ถ้าศึกษาลักษณะของสภาพธรรมโดยละเอียด เป็นผู้ที่ละเอียด ย่อมเห็นความวิจิตรของการสะสมของจิต ซึ่งทำให้เกิดสภาพธรรมแต่ละขณะตามความเป็นจริง และปัญญาจะต้องรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมแต่ละขณะที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยนั้นๆ ตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น จึงจะดับกิเลสได้ยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าผู้ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว ไม่ต้องระลึกศึกษารู้ลักษณะของกาย เวทนา จิต ธรรม อีกต่อไป

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะมีความสงบหรือไม่สงบ หรือว่าท่านสะสมความวิจิตรของจิตที่ความสงบขั้นหนึ่งขั้นใดจะเกิดขึ้น ปัญญาของท่านก็จะต้องคมกล้า จนกระทั่งสามารถที่จะดับความยึดถือสภาพธรรมนั้นๆ และก็ดับกิเลสได้ยิ่งขึ้นตามลำดับ

    และสำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านผู้ฟังคิดว่าท่านจะอยู่ด้วยธรรมอะไร สำหรับพระอริยสาวกที่เป็นพระเสกขบุคคล คือ ผู้ที่ยังจะต้องศึกษาอยู่ ซึ่งได้แก่ พระโสดาบันบุคคล พระสกทาคามีบุคคล พระอนาคามีบุคคล ยังมีกิจที่ยังต้องกระทำ คือ จะต้องศึกษาลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมละเอียดขึ้น จึงจะดับกิเลสได้ละเอียดขึ้น และเมื่อท่านดับกิเลสหมดสิ้นเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านจะอยู่ด้วยธรรมอะไร


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 748


    หมายเลข 13025
    3 ก.ย. 2567