การเจริญสติปัฏฐานต้องไปปฏิบัติตามสถานที่ต่างๆ ไหม


    ถ. การเจริญสติปัฏฐานต้องไปปฏิบัติตามสถานที่ต่างๆ ไหม

    สุ . ถ้าทราบว่า การอบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นผู้มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ คือ ที่ไหน ขณะไหนก็ได้ ซึ่งเป็นชีวิตจริงๆ ไม่ต้องสร้างขึ้น ใครจะสามารถสร้างนามธรรม และรูปธรรมได้ ไม่มีใช่ไหม เป็นความเข้าใจผิดที่คิดว่า มีตัวตนที่จะสร้างนามธรรมหรือรูปธรรมประเภทนั้นๆ ได้ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ทุกขณะเป็นนามธรรม และรูปธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงเรื่องของปัจจัยไว้โดยละเอียด

    ถ. ถ้าไปเจริญสติที่ทำงานหรือที่บ้าน กิเลสต่างๆ เข้ามาหาเรา เช่น ผมมองเห็นสิ่งที่ไม่ดี โทสะก็เข้า ที่เราชอบ โลภะก็เข้า อาจารย์ว่าเป็นอย่างนั้นไหม

    สุ . ท่านที่ไปสำนักปฏิบัติ หรือเข้าใจว่าต้องไปสำนักปฏิบัติ จะมีความรู้สึกว่า ได้แยกชีวิตประจำวันออกจากสำนักปฏิบัติแล้ว เพราะถ้าการไปสู่ที่หนึ่งที่ใดโดยเฉพาะด้วยความตั้งใจที่จะอบรมเจริญปัญญา ย่อมแสดงว่าปกติประจำวันไม่ได้เจริญปัญญา แต่ถ้าเป็นผู้ที่ปกติประจำวันเจริญปัญญาอยู่แล้ว จะไปที่ไหน ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า สำนักปฏิบัติ เพราะว่าสติเกิดขึ้นปฏิบัติกิจของสติ คือ ไม่หลงลืมที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่จำเป็นต้องไปสู่สถานที่หนึ่งสถานที่ใดโดยเฉพาะที่มีชื่อว่าสำนักปฏิบัติเพื่อที่จะให้สติเกิดขึ้นที่นั่น เพราะสติเป็นอนัตตา เมื่อมีการเข้าใจธรรมแล้ว ย่อมเป็นปัจจัยให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติ

    ข้อสำคัญที่สุด คือ ต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดตามปกติ ตามเหตุ ตามปัจจัย ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะไปสู่สำนักหนึ่งสำนักใดเป็นเวลานานสักเท่าไร แต่สติไม่สามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง ไม่ชื่อว่าเป็นผลของการอบรมเจริญปัญญา เพราะปัญญาไม่สามารถเจริญจนรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดตามปกติ ตามเหตุตามปัจจัย ตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้น จึงต้องเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานเพื่อที่จะรู้ลักษณะของปกตูปนิสสยปัจจัย ซึ่งแต่ละท่านสะสมมาจนเป็นปกติ

    ถ้าดูรูปร่างหน้าตาของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะในครั้ง ๒๕๐๐ กว่าปี หรือว่าก่อนนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ มีหน้าตาใครซ้ำกับใคร หรือเหมือนกับใครบ้างไหม นี่เป็นเพียงรูปภายนอกซึ่งเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น ตัวกรรมจริงๆ แต่ละกรรมๆ จะวิจิตรต่างกันสักแค่ไหน เพราะว่ากรรมหนึ่งทำให้เกิดเป็นบุคคลนี้ มีหน้าตาอย่างนี้ในชาตินี้ ชาติต่อไปก็บุคคลนั้นเองแหละ แต่ว่ากรรมอีกกรรมหนึ่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้น มีรูปร่างหน้าตาอีกอย่างหนึ่ง แม้แต่รูปร่างสัณฐานก็ยังจำแนกต่างกันไปตามความวิจิตรของกรรม เพราะฉะนั้น สภาพของจิตของแต่ละบุคคลในแต่ละขณะจะวิจิตร คือ ต่างกันไปตามปัจจัยแต่ละปัจจัยมากสักแค่ไหน ซึ่งปัญญาพร้อมสติเท่านั้นที่สามารถระลึกรู้สภาพที่เป็นอนัตตาแท้ๆ ของนามธรรม และรูปธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏ จึงจะดับการยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้

    ถ้าไม่สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏตามปกติในขณะนี้ได้ ไม่ชื่อว่าเป็นการเจริญปัญญาแน่นอน และไม่สามารถดับกิเลสได้ด้วย เพราะว่า ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้แม้ขณะนี้ทำไมจิตจึงเป็นกุศล หรือทำไมอกุศลจิตจึงเกิดขึ้น ทำไมจึงมีการกระทำทางกาย ทางวาจาอย่างนี้ ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน จะรู้ลักษณะของปัจจัยทั้งหลายตามความเป็นจริงด้วย


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1118


    หมายเลข 13030
    5 ก.ย. 2567