อยู่ในโลกที่สว่างหรือว่าอยู่ในโลกที่มืดมากกว่ากัน
ท่านอาจารย์ ขณะนี้ทุกท่านอยู่ในโลกที่สว่างหรือว่าอยู่ในโลกที่มืดมากกว่ากัน ถ้าศึกษาปริยัติธรรมจะตอบได้ ตรงกันข้ามกับที่กำลังปรากฏนี่ ใช่ไหม เพราะว่า จักขุทวารวิถีจิตทวารเดียว ดับไป ภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตเกิดต่อหลายวาระ ขณะที่เป็นภวังคจิต มืดไหม ไม่ใช่จักขุทวารวิถี ขณะที่เป็นมโนทวารวิถี มืดไหม ขณะที่กำลังได้ยินเสียงมืดหรือสว่าง มืด ใช่ไหม และเวลาที่โสตทวารวิถีจิตดับ ภวังค์เกิดต่อหลายขณะ มืดหรือสว่าง มืด และมโนทวารวิถีจิตที่มีเสียงเป็นอารมณ์ มืดหรือสว่าง หลายวาระ ฉะนั้น ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มืด ทั้ง ๕ ทวาร มีเฉพาะจักขุทวารวิถีทางเดียวเท่านั้นที่สว่าง ที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น เวลาสภาพธรรมปรากฏจริงๆ ตามความเป็นจริง ทางมโนทวารวิถี จะรู้ได้เลยว่า สภาพธรรมตามความเป็นจริงไม่ได้ปรากฏเหมือนอย่างที่สภาพธรรมไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะว่าเวลาที่สภาพธรรมไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง มโนทวารวิถีไม่ได้ปรากฏเลย หรือแม้แต่โสตทวารวิถีซึ่งกำลังได้ยินเสียง และภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตเกิดสืบต่อหลายวาระก็ไม่ได้ปรากฏ ใช่ไหม ก็ดูเสมือนมีสิ่งที่ปรากฏทางตาอยู่ และมีโสตทวารวิถีแทรก และมีมโนทวารวิถีที่คิดนึกคั่น เพราะฉะนั้น ยังเป็นโลกที่สว่างอยู่ ใช่ไหม แต่ตามความเป็นจริงเวลาที่ สภาพธรรมจะปรากฏ สภาพธรรมปรากฏกับปัญญา
เพราะฉะนั้น ที่เราว่าโลกมืด มืดหลายอย่าง สำหรับผู้ไม่มีปัญญาก็ไม่รู้อะไรเลย อะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรม เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็ไม่รู้เลย นั่นเป็นความมืดตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไม่สามารถที่จะรู้ได้ เป็นความมืดของอวิชชา ซึ่งไม่ว่าสิ่งใดจะปรากฏก็ไม่รู้ทั้งนั้น
แต่เวลาที่สภาพธรรมแม้มืด ปัญญาก็สามารถแทงตลอดสภาพธรรมนั้นได้ ตามความเป็นจริง เพราะว่าปัญญาเป็นแสงสว่าง แต่ไม่ใช่แสงสว่างอย่างความสว่าง แต่เป็นแสงสว่างเพราะสามารถแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรมแม้ที่มืดสนิทได้ เช่น เวลาที่โสตวิญญาณเกิดขึ้นได้ยินเสียง ในขณะนั้นไม่มีสีสันวัณณะปรากฏเลย เวลาที่กายวิญญาณกระทบสัมผัสสิ่งที่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ขณะนั้นก็ไม่มี สีสันวัณณะต่างๆ ปรากฏเลย แต่ปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งในลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมได้ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ปัญญาเป็นแสงสว่างที่สว่างกว่าแสงสว่างอื่นใดทั้งสิ้น เพราะแม้ว่าจะเป็นธรรมที่มืดสนิท ไม่มีแสงสว่างปรากฏเลย ปัญญาก็ยังประจักษ์แจ้ง ในลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมได้
เรื่องของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ต้องศึกษา พิจารณา และอบรม เจริญปัญญาไปเรื่อยๆ จนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏตามความเป็นจริง อย่างเช่นลักษณะของนามธรรม ถ้าจะประจักษ์ลักษณะของนามธรรมในขณะนั้น จะมืดหรือ จะสว่าง เพราะว่าต้องเป็นการรู้ทางมโนทวารวิถี เพราะว่านามธรรมไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นสีสันวัณณะต่างๆ ผิดหรือถูก พระธรรมที่ทรงแสดงไว้จะทำให้ รู้ว่า สภาพธรรมตามความเป็นจริงเป็นอย่างไร
ผู้ฟัง พระพุทธองค์ทรงแสดงโดยพระสัพพัญญุตญาณ แม้กระทั่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้เองแล้วก็แสดงไม่ได้ แต่จะบอกว่า อบรมได้ อย่าเพิ่งท้อแท้ใจ
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นผู้ที่อดทน อดทนจริงๆ ตั้งแต่ขั้นการฟัง และพิจารณา ถ้าขณะนี้ทุกท่านหลับตา จะรู้ได้เลยว่า อ่อนหรือแข็งไม่สว่าง เสียงก็ไม่สว่าง คิดนึกก็ไม่สว่าง
ที่มา ...