การปฏิบัติธรรม จะขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลย


    สำหรับเรื่องการปฏิบัติธรรม อย่าเพียงคิดว่าจะปฏิบัติ หรือชักชวนกันไปปฏิบัติ แต่ควรที่จะพิจารณาว่า กลัวบ้างไหมว่าจะปฏิบัติผิด เพราะมักจะสนใจไปปฏิบัติ หรือชักชวนกันไปปฏิบัติ แต่อาจจะไม่เคยกลัวว่าจะปฏิบัติผิด ซึ่งตามความจริงแล้ว การปฏิบัติต้องมีทั้งที่ผิด และที่ถูก เพราะว่าความเห็นมี ๒ ประการ คือ ความเห็นผิด กับความเห็นถูก

    ถ้าความเห็นยังไม่ถูก การปฏิบัติก็ถูกไม่ได้ แทนที่จะคิดว่าจะไปปฏิบัติ ก็ควรกลัวว่าจะปฏิบัติผิด และจะยึดถือข้อปฏิบัติผิดนั้นแน่นอน ถ้าไม่เข้าใจข้อปฏิบัติที่ถูก เพราะฉะนั้น จึงควรพิจารณาว่า ถ้ากลัวการปฏิบัติผิด และกลัวการติด การยึดถือ ข้อปฏิบัติที่ผิดแล้ว จะต้องทำอย่างไร

    ขออย่าให้ท่านผู้ใดไม่กลัวการปฏิบัติผิด เพียงแต่คิดว่าจะปฏิบัติ จะปฏิบัติ ผิดก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าเป็นการปฏิบัติผิดแล้ว จะทำให้ยึดถือข้อปฏิบัติผิดนั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่ในชาตินี้

    เพราะฉะนั้น เมื่อกลัวการปฏิบัติผิด และกลัวการติด การยึดถือข้อปฏิบัติที่ผิด จะทำอย่างไร

    มีหนทางเดียว คือ ต้องศึกษาพระธรรมจนกว่าจะเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรม คืออย่างไร มิฉะนั้นแล้วก็จะชวนกันไปปฏิบัติธรรม ซึ่งถ้าไม่เข้าใจก็ต้องผิด

    ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ผู้ที่มีโอกาสได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้ฟังพระธรรม และเกิดความเข้าใจ เกิดความเลื่อมใสแล้ว ก็เปล่งวาจาขอถึง พระรัตนตรัยเป็นสรณะ

    การกล่าววาจาขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ก็คือ จะประพฤติปฏิบัติตาม พระธรรมวินัยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป

    พอหรือยังเท่านี้ หรือจะต้องทำพิธีอะไรอีก ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรม และ เห็นประโยชน์ เกิดความเลื่อมใส เปล่งวาจาขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ย่อมหมายความว่า ผู้นั้นจะปฏิบัติตามพระธรรมวินัย

    อย่างที่พุทธบริษัทได้กล่าววาจานอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาค ขอถึง พระรัตนตรัยเป็นสรณะ ซึ่งนั่นแสดงว่า ทุกท่านจะมีชีวิตอยู่โดยการประพฤติ ปฏิบัติธรรมทางกาย ทางวาจา ทางใจ ตามพระธรรมที่ได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม จะขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลย เพราะว่า เรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นเรื่องของความประพฤติทางกาย ทางวาจา ทางใจ หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในขณะเห็น ในขณะได้ยิน ในขณะได้กลิ่น ในขณะลิ้มรส ในขณะกระทบสัมผัส ในขณะคิดนึก ประพฤติปฏิบัติธรรมหรือเปล่า โดยที่ไม่ต้องทำพิธีอะไร เพราะว่า ได้กล่าววาจาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะแล้ว

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1510

    การอบรมเจริญปัญญาให้สำเร็จได้ ต้องอาศัยสมบัติ คือ จักร ๔

    ชื่อว่าจักร คือ สมบัติ มี ๔ คือ

    ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในประเทศอันสมควร คือ ประเทศที่มีพุทธบริษัท

    สัปปุริสูปนิสสโย อาศัยสัตบุรุษ ได้แก่ พึงเสพคบสัปบุรุษ มีพระผู้มีพระภาค พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้น

    อัตตสัมมาปณิธิ การตั้งต้นไว้ชอบ คือ ถ้าแต่ก่อนเป็นผู้ที่ไม่มีศรัทธาเป็นต้น ก็ละความไม่มีศรัทธาเป็นต้นนั้น แล้วตั้งอยู่ในศรัทธาเป็นต้น

    นี่คือ การตั้งตนไว้ชอบ คือ ถ้าเคยเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีสติ ไม่มีวิริยะ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ณ บัดนี้ เมื่อตั้งต้นไว้ชอบ คือ เป็นผู้มีศรัทธา มีสติ มีวิริยะ มีสติ มีปัญญา

    นอกจากนั้น ประการที่ ๔ คือ

    ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้มีบุญทำไว้ในกาลก่อน ได้แก่ การเป็นผู้สะสมกุศลไว้ในกาลก่อน

    จะรู้ได้อย่างไรว่า เป็นผู้ได้เคยสะสมกุศลไว้ในกาลก่อน และเป็นกุศลประเภทไหน ก็ต้องเป็นกุศลกรรมที่ทำด้วยกุศลจิตญาณสัมปยุตต์ จึงทำให้อยู่ในประเทศที่สมควร คบสัตบุรุษ และตั้งตนไว้ชอบ

    ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า เรื่องของความเห็น เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถ บังคับบัญชาได้ แต่ละท่านย่อมมีความเห็นตามที่ได้สะสมมา เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะเป็นพระธรรมที่สมบูรณ์ครบถ้วนด้วยเหตุด้วยผล แต่บางท่านอาจจะไม่พิจารณาโดย แยบคาย ทำให้การประพฤติปฏิบัติไม่ตรงตามพระธรรมวินัย ไม่เป็นไปตามที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้

    การที่จะรู้ว่าเป็นผู้ที่ทำบุญไว้ในกาลก่อนคือกุศลกรรมทำด้วยกุศลจิต ญาณสัมปยุตต์หรือไม่ ก็โดยความแยบคายในการฟังพระธรรม ถ้าฟัง และพิจารณาด้วยความแยบคายตรงตามเหตุผลจริงๆ ทำให้สามารถตั้งตนไว้ชอบ ก็รู้ได้ว่า เป็นผู้ที่มีบุญที่ได้ทำไว้ในกาลก่อน เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจริงๆ ที่แล้วแต่ว่าใครสะสมบุญกุศลมาพอหรือไม่ในการพิจารณาธรรม เพราะในเรื่องของการพิจารณานั้น ถ้าพิจารณาโดยไม่แยบคาย แม้กุศลจิตก็ไม่เกิด ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องของวิปัสสนา

    และถ้าไม่ฟังพระธรรม จะไม่มีการประพฤติปฏิบัติเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่ได้กลิ่น ในขณะที่ลิ้มรส ในขณะที่กระทบสัมผัส ในขณะที่คิดนึก ซึ่งไม่ใช่การชวนกันไปนั่ง และปฏิบัติโดยที่ไม่เข้าใจเรื่องของปัญญา ไม่เข้าใจเรื่องของกุศลธรรม

    ดิฉันขอเรียนให้ทราบเรื่องส่วนตัว ดิฉันมีน้องสาวคนหนึ่งที่กำลังฟังพระธรรม ทั้งเช้าทั้งค่ำ แต่ดิฉันไม่ได้ชักชวนให้ปฏิบัติธรรมในขั้นของการเจริญสติปัฏฐาน เพราะว่าปกติน้องสาวเป็นผู้ที่มีจิตใจดี สะสมมาในเรื่องของความเมตตากรุณา มีความกรุณาต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างมาก เพราะฉะนั้น สำหรับน้องผู้นี้เมื่อเริ่ม ฟังพระธรรม ก็เป็นการปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นอีกจากการที่ไม่ได้ฟังมาก่อน เป็นการเริ่มอบรมเจริญปัญญาด้วยการฟัง ยังไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมอะไร ยังไม่ต้องชักชวน ให้ปฏิบัติ เพียงแต่ฟังให้เข้าใจก่อน จนกว่าจะเริ่มเข้าใจสภาพธรรม และเริ่มเห็นโทษของกิเลสละเอียดขึ้นเมื่อไร เมื่อนั้นย่อมเป็นปัจจัยทำให้สติเกิดระลึกลักษณะของ สภาพธรรม และสังเกต พิจารณาลักษณะของสภาพธรรมนั้นไปเรื่อยๆ นั่นคือ การปฏิบัติธรรม

    ไม่ใช่รีบร้อนชักชวนใครให้ปฏิบัติธรรม โดยที่ศรัทธาขั้นนั้นยังไม่เกิด หรือความเข้าใจขั้นที่จะเห็นโทษของกิเลสอย่างละเอียดยังไม่เกิด แต่ต้องเป็นผู้ที่ฟัง และ เริ่มเข้าใจ เริ่มเห็นโทษของกิเลสอย่างละเอียด และเมื่อมีปัจจัยสติปัฏฐานก็เกิด เพราะมีความเข้าใจขั้นสติปัฏฐานแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติธรรมอบรมเจริญปัญญา อีกขั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การชวนกันปฏิบัติธรรมโดยไม่เข้าใจอะไรเลย

    ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมจริงๆ ต้องเป็นผู้เห็นโทษของอกุศล และใคร่ที่จะเจริญกุศล ไม่ว่าจะเป็นขณะใดก็ตามที่สามารถเกิดได้ในชีวิตประจำวันจริงๆ ไม่ใช่ต้องไป นั่งชั่วขณะ และลืมว่าชีวิตประจำวันเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เพราะว่าชีวิตประจำวันของทุกท่าน มีความรักตัวเป็นที่สุด แต่ในการรักตัวเองได้มีการกระทำความดีหรือกระทำประโยชน์ให้คนอื่นบ้างหรือเปล่า แม้ไม่ใช่ขั้นสละวัตถุสมบัติ เพียงแต่กุศลจิตเกิด ตั้งตนไว้ชอบ คิดที่จะให้อภัยคนอื่น เป็นเพียงอภัยทานเท่านั้น มีได้ไหม นี่คือ การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่รีบร้อนชวนกันไปปฏิบัติธรรม นั่งเฉยๆ

    ชีวิตประจำวัน ทุกขณะปฏิบัติธรรมได้ ตั้งแต่ขั้นของทาน แม้ว่าไม่ใช่โดย การสละวัตถุ เพียงแต่มีความขุ่นใจเคืองใจในบุคคลอื่น และตั้งตนไว้ชอบ เห็นว่า เป็นอกุศล เป็นโทษ เพราะฉะนั้น เกิดอภัยทานขณะใด ขณะนั้นเป็นการถึงพระธรรมเป็นสรณะ เป็นการปฏิบัติตามพระธรรม

    ถ้าทุกท่านพิจารณาว่า วันหนึ่งๆ จิตสงบบ้างไหม คนที่ชวนกันไปปฏิบัติ หรือชวนกันไปนั่งปฏิบัติก็จะตอบว่า ไม่สงบ เพราะไม่ได้นั่งจะสงบได้อย่างไร เพราะฉะนั้น โยนิโสมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคาย คือ ต้องพิจารณาว่า ที่คิดอย่างนั้นถูกหรือผิด ถ้ายังไม่พิจารณาแม้ในขั้นนี้จะปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะว่า ความสงบไม่ได้อยู่ที่นั่ง แต่ความสงบ คือ กุศลจิตเกิดขณะใดขณะนั้นเป็นจิตใจที่ ดีงาม สงบจากโลภะ โทสะ โมหะ ขณะใดที่แม้ไม่นั่ง แต่เวลาที่เห็นใครแล้วมี จิตใจเมตตา มีความกรุณา พร้อมที่จะช่วยเหลือบุคคลนั้นแม้ในกิจที่เล็กน้อยที่สุด ขณะนั้นจึงเป็นจิตที่สงบจากอกุศล

    ถ้าชีวิตประจำวันไม่เป็นอย่างนี้ แต่จะไปนั่งปฏิบัติธรรม ก็เป็นความไม่เข้าใจในเรื่องของการปฏิบัติธรรม

    ความสงบ คือ กุศลจิต ย่อมเกิดได้มีได้ไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะพูด จะนิ่ง จะคิด และต้องเป็นผู้ที่สังเกตกายวาจาของตนเองด้วยว่า ขณะใดที่มีการอ่อนน้อม หรือช่วยเหลือบุคคลอื่น ขณะนั้นเป็นกุศลจิตที่สงบ ขณะใดที่วาจาไม่ได้กล่าวคำถากถาง ดูหมิ่น เยาะเย้ย หรือกระทบกระเทียบแม้เพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต ถ้าละเว้นคำที่ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ หรือแม้แต่เพียงได้ยินก็จะรู้สึก ไม่สบายหู หรือบางคนอาจจะใช้คำว่า รำคาญหูก็ได้ เพราะว่าบางคนอาจสะสมมาจนชินที่จะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ได้เห็น แม้แต่เสื้อผ้า ผม การแต่งตัว หรือการขับรถยนต์ของคนอื่น ขณะนั้นสงบหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น สังเกตได้จากกาย จากวาจา และใจของตนเอง คนที่คิดถึง คนอื่น และติเตียนแม้เพียงในใจที่ไม่ชอบ ขณะนั้นก็ไม่สงบ แต่ถ้าคิดด้วยความเมตตา และเห็นใจในความผิดในความบกพร่องของคนอื่น ขณะนั้นก็เป็นความสงบ เป็นกุศลจิต

    ถ้ากาย วาจา ใจในชีวิตประจำวันไม่ประพฤติปฏิบัติในทางธรรมอย่างนี้ จะ ไปนั่งทำไม นี่เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาให้ถูกต้อง และก่อนอื่นจะต้องพิจารณาว่า คิดที่จะละความเห็นผิด ความเข้าใจผิด และการปฏิบัติผิดในชีวิตประจำวันหรือยัง ถ้ายัง ไม่คิด ก็อย่าไปนั่ง แต่ถ้าคิด กุศลจิตย่อมเกิดได้โดยไม่ต้องนั่ง เพราะไม่ว่าขณะใด ที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่นั่ง ที่นอน ที่ยืน ที่เดิน กุศลจิตเกิดได้


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1511


    หมายเลข 13037
    9 ก.ย. 2567