เห็นภัยและเห็นโทษของภพของขันธ์ไหม
ผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญาจนสามารถเห็นภัย และเห็นโทษของภพของขันธ์ ท่านจะต้องมีความเห็นว่า ภพทั้ง ๓ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดในที่ไหนทั้งสิ้น ปรากฏ ดุจหลุมถ่านเพลิงที่เต็มด้วยถ่านเพลิงไม่มีเปลว นี่คือปัญญาที่ได้อบรมแล้ว แต่ ถ้ายังไม่อบรม ไม่เดือดร้อนเลยกับการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การคิดนึกซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็ว แต่ปัญญาที่จะดับกิเลสได้จริงๆ ต้องอบรมเจริญ จนประจักษ์การเกิดดับ และเห็นว่าการเกิดในที่ไหนๆ ทั้งสิ้น ดุจหลุมถ่านเพลิงที่ เต็มด้วยถ่านเพลิงไม่มีเปลว
มหาภูตรูป ๔ ปรากฏดุจอสรพิษที่มีพิษร้าย เพราะให้โทษอย่างเดียว จะต้องมีการบริหารบำรุงรักษาทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตาย
ขันธ์ ๕ ปรากฏดุจเพชฌฆาตที่กำลังเงื้อดาบ คือ ไม่ให้พ้นภัยของความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายไปได้เลย
อัชฌัตติกายตนะ ๖ คือ อายตนะภายใน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปรากฏดุจเรือนว่างเปล่า
พาหิรายตนะ ๖ คือ อารมณ์ภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ปรากฏดุจโจรปล้นชาวบ้าน
ในขณะนี้ ไม่รู้สึกตัวเลย ใช่ไหม แต่เมื่อใดปัญญาเจริญขึ้น จะเห็นภัยของอารมณ์ที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบทีไรอกุศลจิตเกิดทุกที แต่เมื่อไม่รู้ จะเห็นได้อย่างไรว่าเป็นโทษ จะเห็นได้อย่างไรว่าเป็นภัย แต่เมื่อรู้ว่า เห็นแล้วอกุศลจิตเกิด ได้ยินอกุศลจิตเกิด ได้กลิ่นอกุศลจิตเกิด ลิ้มรสอกุศลจิตเกิด กระทบสัมผัส อกุศลจิตเกิด คิดนึกอกุศลจิตเกิด ทั้งวัน และทุกวัน เหมือนกับโจรปล้นชาวบ้านให้เดือดร้อน เพราะขณะที่เป็นภวังคจิตยังไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏ เมื่ออารมณ์ปรากฏแล้ว เดือดร้อนทันทีด้วยโลภะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง
เพราะฉะนั้น สังขารทั้งหลายเป็นเหมือนโภชนะที่เจือด้วยยาพิษ ที่กำลังบริโภคอยู่ทุกวันก็ไม่ทราบว่าเป็นพิษเพียงใด ทุกคนกลัวพิษจากอาหารเป็นพิษ แต่ที่จริงแล้วสังขารทั้งหลายเป็นเหมือนโภชนะที่เจือด้วยยาพิษ เป็นเหมือนหนทางที่เต็มไปด้วยโจร เป็นเหมือนเรือนที่ไฟติดทั่วแล้ว เป็นเหมือนสนามรบที่เหล่าทหารต่อยุทธ์กัน คือ ทำสงครามกันระหว่างความดี และความชั่ว กุศลจิต และอกุศลจิต ฝ่ายไหนชนะ ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่จะรู้ เพราะฉะนั้น ทางที่จะชนะได้เด็ดขาดมีอยู่ทางเดียว คือ ต้องอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
ปัญญาต้องเจริญที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ บางคนก็กล่าวว่า คิดถึงอวิชชาของตัวเอง เมื่อหลายร้อยชาติมาแล้วจะมากมายสักแค่ไหน แต่ความจริงแล้ว แสนโกฏิกัปป์นับไม่ถ้วน
เพราะฉะนั้น การดับอวิชชา ควรทราบว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องเร็ว แต่เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ที่เคยมีความไม่รู้เต็มไปด้วยอวิชชามาก่อน
สำหรับคนที่อบรมเจริญปัญญา ใคร่ที่จะพ้นจากขันธ์ทั้งหลาย เพราะได้ประจักษ์ความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่อาศัยปัจจัย เกิดขึ้น และดับไป เกิดขึ้น และดับไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่ใคร่จะพ้นจากขันธ์ เพราะเห็นว่า การติดข้องอยู่ในขันธ์ทั้งหลายนั้น เหมือนปลาที่ติดอยู่ในข่าย ยังไม่เคยรู้สึกอย่างนี้ แต่ผู้ที่ใคร่จะพ้นจริงๆ ต้องเห็นจริงๆ ว่า ถ้ายังเกี่ยวข้องกับขันธ์ทั้งหลายอยู่ ก็เหมือนกับปลาที่ติดอยู่ในข่าย กบที่อยู่ใน ปากงู ไก่ป่าที่ถูกขังอยู่ในกรง มฤคที่ติดบ่วงแน่น งูที่อยู่ในกำมือของหมองู ช้างที่ แล่นไปตกหล่มใหญ่ บุรุษที่ถูกศัตรูล้อมไว้
ขณะนี้ยังไม่ถูกใครล้อมไว้ก็ไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้ามีการถูกล้อมไว้จริงๆ ก็จะรู้ว่าทุกข์นั้นมากมายสักแค่ไหน แต่ขณะนี้ก็ถูกล้อมไว้แล้วทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโผฏฐัพพะ ทั้งโลภะ ทั้งโทสะ ทั้งโมหะ ยากที่จะพ้นได้จริงๆ
ที่มา ...