เดือดร้อน กลุ้มใจ ไม่ใช่ผลของกรรม
เวทนามีมาก และทรงแสดงไว้โดยตลอด แล้วแต่ว่าบุคคลใดจะมีเวทนาประเภทใด ซึ่งก็น่าพิจารณาจริงๆ คือ ก่อนอื่นต้องพิจารณาว่า สภาพความรู้สึกเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ถ้าประสบกับอารมณ์ที่น่าพอใจ ก็เป็นปัจจัยทำให้โสมนัสเวทนาเกิด ถ้าประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ ก็เป็นปัจจัยให้โทมนัสเวทนาเกิด
วันหนึ่งๆ ทุกคนก็มีโทมนัสเวทนาพอสมควร เพราะว่าทางตาที่กำลังเห็น ในภูมิมนุษย์ ถ้าเป็นสิ่งที่น่ายินดีพอใจ ขณะนั้นจักขุวิญญาณเป็นกุศลวิบาก แต่เวลาที่คิดเรื่องอะไรที่กลุ้มใจ เดือดร้อน ขณะนั้นเป็นโทมนัสเวทนา แสดงให้เห็นว่า ถ้าปัญญาเกิดจริงๆ จะตัดได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว เรารับผลของกรรมจริงๆ หรือเปล่า หรือเราเพียงแต่เป็นทุกข์เดือดร้อนโดยไม่ใช่ผลของกรรม เพราะถ้าเป็นผลของกรรมขณะใด คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จะได้อารมณ์ที่ดีถ้าเป็น ผลของกุศลกรรม และจะได้อารมณ์ที่ไม่ดีถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม อย่างทางกาย ถ้าไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่ใช่อกุศลวิบาก แต่ทำไมเดือดร้อน ทำไมกลุ้มใจ แสดงให้เห็นว่า ไม่ควรจะกลุ้มใจ ในเมื่อยังไม่ได้รับผลของกรรมจริงๆ ทางกาย
ถ้าใครอยู่บ้าน เมื่อวานนี้เป็นสุข แต่วันนี้เป็นทุกข์ บ้านก็คือบ้านเก่า และจักขุวิญญาณก็เกิดเห็นสิ่งต่างๆ ในบ้าน ซึ่งอาจจะเป็นดอกไม้สวยๆ หรืออาจจะ เป็นอะไรก็ได้ตามปกติ แต่ทำไมใจเป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า วิบากเหมือนเดิม คือ ถ้าเป็นกุศลวิบากทางตา ก็เห็นสิ่งที่น่าพอใจ แต่เวลาที่ใจเดือดร้อน และระลึกขึ้นมาได้ว่า ขณะนี้ไม่ใช่การรับผลของกรรม เป็นแต่เพียงกิเลสของเราเองที่ทำให้จิตใจกระสับกระส่ายกระวนกระวายเดือดร้อน ก็จะบรรเทาได้ว่า นี่ยังไม่ใช่การรับผลของกรรมจริงๆ เพราะถ้ารับผลของกรรมจริงๆ ต้องเห็นสิ่งที่ไม่ดีทางตา ได้ยินเสียงที่ไม่ดีทางหู ได้กลิ่นที่ไม่ดี ลิ้มรสที่ ไม่ดี และกายเป็นทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ เพราะฉะนั้น ถ้าร่างกายยังแข็งแรงดี ก็ไม่ควรที่จะกลุ้มใจอะไร
คอยรับผลของกรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายจริงๆ และ กันเรื่องวิตกกังวลเดือดร้อนออกไป เพราะว่าในขณะนั้นไม่ใช่ผลของกรรม
จะกลุ้มใจ หรือไม่กลุ้มใจ วิบากจิตชนิดไหนจะเกิด ก็ต้องเกิดตามควรแก่กาลของวิบากนั้นๆ
ที่มา ...