เรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม และสังเกตพิจารณาแม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จะเป็นประโยชน์ ยิ่งสังเกตมาก พิจารณาละเอียดมาก ประโยชน์ที่ได้รับก็มาก เพราะบางท่านบอกว่า ไม่ฟังพระสูตร ไม่สนใจพระสูตร ท่านคิดว่าท่านอ่านเองได้ แต่ถ้าไม่ฟังความคิดเห็น และการพิจารณาของบุคคลอื่น ซึ่งอาจจะมีการพิจารณา ความละเอียดในลักษณะต่างๆ กัน ถ้าไม่ฟังความคิดเห็นของบุคคลอื่นเลย ย่อมจะขาดประโยชน์ เพราะว่าจะขาดข้อคิดในแง่ที่เป็นประโยชน์ของบุคคลอื่น
บางท่านอ่านพระสูตรด้วย แต่อ่าน และก็คิด และมีเรื่องสงสัยในพุทธวิสัยบ้าง ในฌานวิสัยบ้าง เป็นต้น ซึ่งตามความจริงถ้าจะพิจารณาว่า ปัญญาของผู้ที่อ่านไม่ใช่ปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัครสาวก หรือพระอริยเจ้าในครั้งที่ พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพุทธวิสัย หรือในเรื่องของฌานวิสัย ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าบุคคลนั้นยังไม่อาจที่จะบรรลุได้ ย่อมจะหมดความสงสัยไม่ได้ แม้ในเรื่องของอิทธิฤทธิ หรือแม้แต่ในเรื่องของฌานจิตที่เป็นปฐมฌานก็ตาม
ขอเชิญท่านผู้ฟังท่านหนึ่งอ่านจดหมายของท่านผู้ฟังท่านหนึ่งด้วย
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
อำเภอบางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา
๑๒ ก.พ. ๒๕๒๙
เจริญธรรมแด่ญาติสัมมาปฏิบัติ
ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับฟังการบรรยายแนวทางเจริญวิปัสสนาของท่าน เห็นว่าท่านได้อธิบายธรรมเป็นสัมมาทิฏฐิ ก่อประโยชน์ให้แก่ผู้รับฟัง ได้ปัญญา จากการเจริญสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ ด้วยการเจริญวิปัสสนา โดยใช้สติปัฏฐาน ๔ เป็นอาวุธ ใช้มรรคมีองค์ ๘ เป็นทางเดิน และไม่เจริญภวังคฌาน คือ นั่งหลับตาพยายามสะกดจิต ทำสมาธิเข้าไปเรื่อยๆ ท่านใช้การลืมตาเป็นคนปกตินี่แหละ แต่มีสติให้ได้อยู่เสมอ แล้วก็เพ่งเพียรพิจารณาในกาย เวทนา จิต ธัมมารมณ์ ให้ทะลุ ให้ได้จนรู้รูปรู้นามอันแท้จริง เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ แล้วก็เพียรตัดขาดโลภกิเลส ตัณหา อุปาทาน เพื่อที่จะบรรลุหลุดพ้นจากทุกข์ในภพนั้นๆ เป็นการหลุดพ้นด้วยการเจริญวิปัสสนาในแบบไม่นั่งหลับตาหรือไม่ใช้ฌานในภวังค์เป็นบาทฐาน เรียกว่า หลุดพ้นแบบอุภโตภาควิมุตติ โดยได้ปัญญามาทีละเล็กละน้อย ค่อยๆ ตทังคปหานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสมุจเฉทปหาน ซึ่งจะนำพาผู้เจริญอยู่ได้เข้าถึงพระนิพพาน
ในวันที่ ๑๑ ก.พ. นี้ ข้าพเจ้าได้รับฟังท่านบรรยายพระไตรปิฎกเล่ม ๙ สามัญญผลสูตร ท่านได้บรรยายพระสูตรไปในทางมิจฉาทิฏฐิ ข้าพเจ้าเห็นว่า จะทำให้ผู้รับฟังเกิดมิจฉาทิฏฐิ และจะเป็นอนันตริยกรรมแก่ผู้บรรยาย เป็นผู้ทำให้ชีวิตพระพุทธศาสนาหยุดชะงัก คือ ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต ด้วยการที่ท่านได้บรรยายอิทธิวิธญาณ เป็นไปในทางอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นปาฏิหาริย์ที่พระพุทธองค์ทรงเกลียดมาก เป็นไปเพื่อมิจฉาทิฏฐิ พิสูจน์ให้เห็นตามได้ยาก ทำให้มีให้เกิดในตนไม่ได้ เป็นสิ่งที่วิญญูชนไม่แจ่มแจ้งในตน ทำให้พิสูจน์ให้เห็นตามได้ยาก ทำให้มีให้เกิดในตนไม่ได้ ศึกษา และปฏิบัติตามไม่ได้ในตน ทำให้เป็นสิ่งที่เพ้อเจ้อลอยลม เป็น อิทธิวิธญาณที่ปฏิบัติให้มีให้เกิดในตนไม่ได้ อิทธิวิธญาณที่เป็นสัมมานั้น คือ ความเก่งในการทำจิตให้ปราศจากกิเลสได้หลายวิธี ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เพื่อบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ
๑. คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หมายความว่า ทำจิตที่ปราศจากนิวรณ์กิเลส ให้มีขึ้น ให้เป็นให้ได้มากๆ หลายจิต เช่น พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ทรงสอนสาวกให้เป็นพระอรหันต์มากมาย ข้อนี้มิใช่ว่าเป็นการแสดงปาฏิหาริย์โดยการแบ่งภาคให้ตนเป็นหลายๆ คนเหมือนๆ กัน เหมือนหนังการ์ตูนในจอทีวี ตามที่พวกมิจฉาทิฏฐิแสดงเอาไว้ หรือดั่งฤๅษีเดียรถีย์ที่พยายามฝึกกระทำกัน
๒. หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ หมายความว่า ทำจิตที่ประกอบด้วยนิวรณ์ ต่างๆ ให้มีอารมณ์เป็นหนึ่ง (เอกัคคตารมณ์) เป็นฌาน เป็นสมาธิ เช่น ทำปุถุชนหลายๆ คนให้เป็นอริยบุคคลอันหนึ่งอันเดียวกัน (เอโกธัมโม) มิใช่ว่าทำคนหลายๆ คนที่ได้แบ่งภาคออกแล้วให้กลับมาเป็นคนเดียวอย่างเดิม
๓. ทำให้ปรากฏก็ได้ หมายความว่า ทำจิตให้ปราศจากกิเลสให้ปรากฏ ให้เกิดขึ้น เช่น ทำคนที่ฆ่ากิเลสได้ให้ปรากฏให้เกิดขึ้น (พุทธาภิเษก ทำคนให้เป็นพุทธะ) มิใช่ว่าจะทำการเสกให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นสิ่งนี้เกิดโดยไม่มีเหตุปัจจัย หรือ พุทธาภิเษก อิฐ หิน ดิน ปูนปั้น ปรุ อัด ยัด เป่า ให้เกิดสภาวะของพุทธะตาม ลัทธิดิรัจฉานวิชา ที่หลายคนทั่วไปมุ่งปรารถนาพยายามฝึกปรือให้ตนมีวิชาเหล่านี้
ที่มา ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1504
๔. ทำให้หายไปก็ได้ หมายความว่า ทำกิเลสในจิตให้ดับสูญ ให้หายไป ให้หมดไป ทำความไม่ติดกุศล ทำความไม่หลงยึดในผลดีที่เราก่อให้หายไป คือ ดับปีติวิสัย ไม่ใช่ว่าเป็นการเสกสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้หายไป (วัตถุต่างๆ ) หรือทำการล่องหนหายตัว ดังที่ได้เข้าใจกันอยู่ในผู้ที่งมงาย
๕. ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ หมายความว่า แม้กิเลสตัณหาอุปาทาน หรือนิวรณธรรมใดจะหนาเท่าฝา จะแข็งแรงเท่ากำแพง จะเป็นเครื่องปิดกั้นขนาดภูเขา ผู้มีอิทธิวิธีแท้ก็จะต้องรู้แจ้งแทงทะลุ และไม่ติดไม่ยึดได้โดยไม่ยาก ได้โดยง่าย ไม่ข้องอยู่ ไม่ขัดอยู่ เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ทำความเป็นพระอริยะปรากฏขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ไม่ติดขัด
๖. ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ หมายความว่า เรื่องที่ไม่น่าจะทำให้เกิดได้เป็นได้ก็เกิดได้เป็นได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำได้ราวปาฏิหาริย์ การทำตนให้มีอำนาจจิตอยู่เหนือความคิด อยู่เหนือความติดความยึดเดิมๆ เรียกว่า เก่งเหนือธรรมชาติ เช่น ตัดกิเลสราคะ ไม่ต้องสมสู่สืบพันธุ์ เป็นความเก่งเหนือสัญชาตญาณ ซึ่งเป็นธรรมชาติดั้งเดิม ซึ่งเหนือคนธรรมดา สามารถทำสิ่งที่ยากให้ง่ายได้ เป็นผู้ที่ฆ่ากิเลสได้ง่ายดาย สามารถทำธาตุดินที่แข็งให้เป็นของเหลวเหมือนน้ำได้ จึงสามารถ ดำดินได้ราวปาฏิหาริย์
๗. เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ หมายความว่า เป็นเรื่องที่เก่งสามารถยิ่งขึ้นไปอีก แม้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมสัมผัสที่จัดจ้านอย่างยิ่ง ก็สามารถทำให้ง่ายให้สบายได้ เหมือนก้อนน้ำแข็งกลางเตาหลอมเหล็ก สามารถทำธาตุน้ำให้แข็งได้ จึงเดินบนน้ำได้อย่างแสนสะดวกสบายเหลือเชื่อ
๘. เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ หมายความว่า ทำจิตให้ว่างเบาสบาย ปราศจากกิเลสนิวรณ์ เป็นจิตอิสระ ปราศจากเครื่องดึงเครื่องถ่วง ล่องลอยไปไหนๆ ก็ได้ สุดแสนสะดวกสบาย เบา เหมือนนกน้อยมีปีกแข็ง จะไปไหนก็ไปได้ด้วยปีกของตนทั้ง ๒ ข้าง มีจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย มีบาตรเป็นเครื่องบริหารท้อง เป็นการเหาะได้โดยไม่ต้องเหาะ เป็นผู้ที่มีคุณธรรมอันปรากฏเด่น เห็นง่าย สะอาด บริสุทธิ์ ชัดเจน มิใช่งมงายมุ่งหวังที่จะทำตนให้เหาะให้ล่องลอยไปได้ในอากาศ ปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ให้เห็นชัดได้ยาก เป็นการเดินเลี้ยว มิใช่เป็นการเดินตรงเพื่อเข้าหาพระนิพพาน
๙. ลูบคลำพระอาทิตย์พระจันทร์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ หมายความว่า เป็นผู้มีปัญญายิ่งยอด รู้ลึกซึ้งแทงทะลุในนามรูปทุกอย่าง แม้จะลึกลับไกลเกินรู้สุดยากสุดยิ่งขนาดไหน ทั้งเล็กเป็นปรมาณูธุลีละออง (โลกน้อย) และใหญ่โตมโหฬารเป็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ (โลกใหญ่) อันไกลสุดแสนไกลเท่าใดๆ ก็สามารถรู้ได้ไล่ถึง จับลูบเล่นได้อย่างเช่นในฝ่ามือนั่นทีเดียว แต่ใครอื่นจะรู้ด้วยนั้นแสนยาก พระอริยเจ้าผู้มีอิทธิวิธีแท้นั้นท่านย่อมรู้เอง สัมผัสเอง อย่างลูบคลำด้วยฝ่ามือได้จริงๆ
๑๐. ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ หมายความว่า เป็นผู้สามารถ รู้ได้หรือเข้าใจทะลุแจ่มแจ้งไปตลอดในสภาพจิตที่เรียกว่าพรหมโลกได้ กี่ลักษณะ กี่ระดับ กี่ชั้นเชิง ก็แยกออกแบ่งถูก กำหนดสภาพ กำหนดสถานภาพของแต่ละพรหมได้ถูกฝาถูกตัว
ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าได้กล่าวมา ล้วนเป็นอิทธิวิธญาณ ซึ่งเป็นความเก่งในการทำจิตให้ปราศจากกิเลสนิวรณ์ เป็นอิทธิวิธีซึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสามัญญผลที่ผู้ปฏิบัติ ตามหลักอปัณณกธรรม ๓ จะได้รับ จะเป็นผลธรรมดาของผู้ปฏิบัติธรรมที่มีความสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ คือ มีสติปัฏฐาน ๔ เป็นสิ่งที่มีได้ ปฏิบัติได้ยาก ตามที่ผู้มีมิจฉาทิฏฐิบางท่านได้กล่าวไว้ ซึ่งเป็นปาฏิหาริย์งมงายที่พวกฤาษีพยายามพากันปฏิบัติเพื่อให้มีให้เป็นในตัวของตัว
ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า ผู้ที่มีสัมมาปฏิบัติอยู่ กำลังจะมีมิจฉาทิฏฐิ คือ มีความเห็นคล้อยไปในทางผิด เห็นเป็นดังเช่นปาฏิหาริย์เช่นพวกฤๅษีเห็น เป็นความเห็นที่นอกทางนิพพาน ข้าพเจ้าจึงได้ชี้แจงมายังท่าน เพื่อให้ท่านได้ทบทวนใน สิ่งที่ท่านได้เห็น และได้บรรยายออกไปยังผู้ที่สนใจใฝ่ธรรมทั้งหลาย ในเมื่อทิฏฐิท่าน เป็นมิจฉาเสียแล้ว สังกัปปะวาจา กัมมันตะ อาชีวะ วายามะ สติ สมาธิ ก็จะเป็นมิจฉาตามมา จนเป็นเหตุให้การศึกษา และปฏิบัติยิ่งออกนอกเขตพุทธะ นอกเขต พระนิพพานยิ่งๆ ขึ้น ข้าพเจ้าเห็นว่า นี่เป็นสิ่งร้ายแรงมาก จึงได้ทำการท้วงติงมาเพื่อเป็นประโยชน์ของท่านเอง และเป็นประโยชน์ของผู้อื่นด้วย ถ้าท่านได้บอก และอธิบายต่อๆ ไป จะเป็นการช่วยจรรโลงชีวิตพระพุทธศาสนาให้สืบทอดต่อๆ ไป คือ จะมีผู้ที่ปฏิบัติได้ และมีผู้ปฏิบัติตามกันมาอีก เพราะศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์ มิใช่เป็นศาสนาที่งมงายเหมือนอย่างลัทธิฤๅษีเดียรถีย์ใดๆ ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ พิสูจน์ให้เห็นตามได้
ท้ายนี้ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาสาธุในสิ่งที่ท่านได้กระทำอยู่ ขอความดีที่ท่านได้กระทำจงเป็นเหตุให้ท่านได้มีดวงตาเห็นธรรม เดินกลับมาสู่ทางที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เพื่อท่านจะได้ไม่หลุดล่วงจากกระแสแห่งนิพพาน จงฟังธรรมแล้วเอาไปทำ อย่าฟังธรรมแล้วเอาไปทิ้ง ธรรมใดๆ ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ
ขอเจริญในธรรมแก่ญาติสัมมาปฏิบัติ
พุทธายาโธ
สุ. ไม่ทราบท่านผู้ฟังมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง เพราะว่าท่านที่อ่านพระไตรปิฎกสมัยนี้ โดยที่ไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดย่อมคิดว่า ปาฏิหาริย์เป็นเรื่องที่เหลวไหล ซึ่งในยุคนี้สมัยนี้ไม่ใช่แต่เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่ดูเสมือนว่า กำลังมีการทำปาฏิหาริย์ แม้ในประเทศอื่น และศาสนาอื่น ก็มีการกระทำที่ดูเสมือนว่า เป็นปาฏิหาริย์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ปาฏิหาริย์เหมือนปาฏิหาริย์ที่พระผู้มีพระภาค และพระอริยสาวก หรือผู้ที่ได้บำเพ็ญฌานสมาบัติในครั้งโน้นสามารถที่จะกระทำได้จริงๆ เพราะฉะนั้น นี่เป็นความต่างกัน
สำหรับสิ่งที่คนยุคนี้เข้าใจว่า เป็นการทำปาฏิหาริย์ ไม่ว่าจะเป็นในพุทธศาสนาหรือว่าศาสนาอื่น เช่น ผู้ที่สามารถรักษาโรคให้หายได้ด้วยการจับถูกต้อง ไม่ใช่แต่เฉพาะที่เมืองไทย มีท่านผู้หนึ่งท่านอยู่ต่างประเทศ ท่านบอกว่า มีผู้ที่ชักชวนให้ท่านนับถือศาสนาอื่น เพราะเขาสามารถรักษาโรคให้หายได้เพียงด้วยการจับมือ เพราะฉะนั้น ท่านก็คิดว่า ท่านยังไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา แต่ถ้าท่านจะนับถือศาสนาอื่น และได้รับประโยชน์อย่างนั้น ก็คงจะไม่เป็นการเสียหายประการใด
ทุกคนต้องพิจารณาว่า สิ่งที่กำลังกระทำกันอยู่ในสมัยนี้ และเข้าใจว่าเป็นปาฏิหาริย์นั้น ไม่เหมือนกับปาฏิหาริย์ที่พระผู้มีพระภาค และผู้ที่ได้ฌานสมาบัติใน ครั้งนั้นทำ เพราะว่าปาฏิหาริย์จริงๆ ย่อมมีได้ แต่เป็นสิ่งที่ยากมาก และต้องเป็นการกระทำที่สมควรแก่เหตุ ถ้าเหตุไม่สมควรแก่ผลแล้วจะกล่าวว่า สิ่งนั้นๆ เป็นปาฏิหาริย์ไม่ได้
สำหรับในสมัยนี้ ดิฉันเองไม่ได้ตื่นเต้นกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือการกระทำ อย่างหนึ่งอย่างใดที่มีคนบอกว่าเป็นปาฏิหาริย์ต่างๆ แต่เมื่อได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียดแล้วเห็นว่า ปาฏิหาริย์เป็นสิ่งที่มีได้ แต่เป็นสิ่งที่ยากมากที่จะเกิดขึ้นได้ แม้ ในสมัยก่อนซึ่งเป็นกาลสมบัติ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถได้ฌานสมาบัติ และกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้
ยิ่งในสมัยนี้ เป็นสมัยที่ไม่มีการพิจารณาธรรมในเรื่องเหตุ และผลโดยละเอียด ก็ย่อมเป็นการยากที่จะมีผู้หนึ่งผู้ใดแม้เพียงที่จะบรรลุฌานสมาบัติ ยังไม่ต้องถึงจะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ เพียงแต่จะอบรมความสงบของจิตจนกระทั่งความสงบนั้นเพิ่มขึ้นจนกระทั่งลักษณะความสงบนั้นเป็นความสงบที่มั่นคงถึงความเป็นสมาธิขั้น ต่างๆ จนถึงอัปปนาสมาธิซึ่งปฐมฌาน คือ อัปปนาสมาธิจิตขณะแรกที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นขณะเดียว ก็ยังประกอบด้วยวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ซึ่งเป็นเจตสิก ๕ องค์ ที่กระทำกิจละนิวรณธรรม ซึ่งถ้าไม่มีการละธรรมที่เรียกว่านิวรณ์ คือ เครื่องเศร้าหมองของจิตให้ค่อยๆ คลายลงไปแล้ว ฌานจิตจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
และเมื่อผู้นั้นบรรลุปฐมฌานแล้ว ด้วยสภาพที่เป็นอัปปนาสมาธิจิต ซึ่งเป็นสภาพของจิตที่ไม่ใช่กามาวจรจิตที่เคยเกิด เป็นจิตอีกระดับขั้นหนึ่ง เป็นขั้นรูปาวจรจิตที่เป็นปฐมฌาน องค์ของฌานจะต้องปรากฏสำหรับให้ผู้ที่ได้บรรลุพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะจริงๆ พิจารณาองค์ของฌานทั้ง ๕ คือ พิจารณาลักษณะของ วิตกเจตสิก พิจารณาลักษณะของวิจารเจตสิก พิจารณาลักษณะของปีติเจตสิก พิจารณาสุขเวทนา และพิจารณาเอกัคคตาเจตสิก ซึ่งถ้าไม่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะสมบูรณ์จริงๆ ลักษณะขององค์ทั้ง ๕ จะปรากฏให้พิจารณาไม่ได้
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าใครก็ตามที่เห็นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วก็เข้าใจว่าเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งความจริงไม่ใช่ เป็นแต่เพียงผลของสมาธิเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะว่าเคยสะสมมาในชาติก่อนๆ จึงมีสิ่งที่ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่แท้จริง และไม่ใช่ฌานจิตด้วย เพราะว่าผู้ที่จะอบรมฌานจิต ต้องศึกษาเรื่องสมถกัมมัฏฐาน อารมณ์ ๔๐ ที่จะทำให้จิตสงบโดยละเอียดจริงๆ โดยรู้ความต่างกันของอารมณ์ทั้ง ๔๐ ว่า อารมณ์ใดจะทำให้จิตสงบได้ขั้นใด เพราะว่าอารมณ์บางอารมณ์ไม่สามารถทำให้ถึงปฐมฌานได้ เช่น พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ
ผู้ที่จิตสงบเพราะระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ระลึกถึงศีล ระลึกถึงจาคะ ระลึกถึงคุณธรรมของเทวดา จะสงบได้เพียงขั้นอุปจารสมาธิ ถ้าผู้นั้นเป็นพระอริยบุคคล แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ที่จะให้จิตสงบจนกระทั่งถึง อุปจารสมาธิด้วยอนุสสติเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญสมถภาวนาเป็นเรื่องที่ละเอียด และต้องพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่รู้ความต่างกันของกุศลจิต และอกุศลจิตในขณะที่จิตกำลังสงบ มิฉะนั้นแล้วย่อมไม่สามารถกันหรือละอกุศลจิตได้ เพราะในขณะนี้กุศลจิตก็ดี หรืออกุศลจิตก็ดี ที่จะเกิดทางทวารหนึ่งทวารใด ก็ดับไปอย่างรวดเร็ว และสลับกันมาก
ถ้าขณะนี้ได้ยินเสียง เป็นเสียงที่ไม่น่าพอใจ ไม่มีใครสามารถยับยั้งโทสมูลจิต ความไม่แช่มชื่นของจิตแม้เพียงเล็กน้อยซึ่งเกิดขึ้น และดับไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันจะสังเกตว่าเป็นความไม่แช่มชื่นของจิต แต่ความไม่แช่มชื่นของจิตก็เกิดขึ้นตามเหตุ ตามปัจจัย และก็ดับไป สลับกับขณะที่กำลังฟังธรรม ซึ่งเป็นกุศลจิต เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ถ้าในขณะนี้ไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะพิจารณารู้ว่า ขณะที่เป็นอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ใช่ในขณะที่กำลังเป็นกุศลในขณะที่กำลังฟังพระธรรม ถ้าไม่มีความละเอียดอย่างนี้ อบรมสมถภาวนาไม่ได้ เพราะว่าการอบรมเจริญสมถภาวนานั้น ต้องประกอบด้วยปัญญา จิตที่กำลังเจริญนั้นก็เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ด้วย
อิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ในยุคนั้นสมัยนั้น คือ ในสมัยพระผู้มีพระภาค ซึ่งเป็น สมัยของกาลสมบัติ มีผู้ที่อบรมเจริญปัญญา และสามารถบรรลุฌานจิตถึงขั้นที่สามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ แม้ไม่ใช่ผู้ที่เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นอัญญเดียรถีย์คือผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ก็ยังสามารถอบรมความสงบของจิตจนกระทั่งสามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ แต่แม้กระนั้น ก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้เสมอพระผู้มีพระภาค
เพราะฉะนั้น เรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์มีจริง แต่ไม่เหมือนกับสิ่งที่คนในยุคนี้เข้าใจว่าเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ แสดงให้เห็นว่า การศึกษาพระธรรม การอ่านหรือการฟัง บางทีบางท่านเปรียบพระธรรมหรือวัดพระธรรมด้วยความคิดความเข้าใจของท่านเอง คือ ถ้าท่านมีความเข้าใจในเรื่องหนึ่งเรื่องใดแล้ว ท่านอ่านพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา ท่านก็อาจจะคิดว่า เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเปรียบกับความคิดของตนเองว่า ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ถ้าคิดว่า ปัญญาของบุคคลในครั้งนั้นสามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉทบรรลุความเป็นพระอริยเจ้า ในขณะที่คนในสมัยนี้ยังต้องฟังเรื่องของนามธรรม และรูปธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เพื่ออุปการะให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นี่ก็เป็นความต่างกันแล้ว
เพราะฉะนั้น ควรที่จะเกิดศรัทธาพร้อมด้วยปัญญา ไม่ใช่เข้าใจว่าตนเองเป็น ผู้ที่มีปัญญา และขาดศรัทธาในการที่จะฟัง และอ่านพระไตรปิฎก และคิดเปรียบเทียบว่า ถ้าท่านคิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ บุคคลอื่นก็ย่อมทำไม่ได้ แต่ควรที่จะได้ศึกษาถึงเหตุว่า เหตุที่จะให้การกระทำนั้นๆ เกิดขึ้นสมควรแก่ผลหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุที่ไม่สมควรแก่ผล คือ เพียงนั่งสมาธิ และบอกว่าเหาะได้ ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือนั่งสมาธิ นิดๆ หน่อยๆ และบอกว่า มีจักขุทิพย์ เห็นสิ่งต่างๆ ได้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรแก่เหตุ
ผู้ฟัง ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับจดหมายฉบับเมื่อกี้ คือ ในฐานะที่ผมศึกษาธรรม และติดตามฟังธรรมของท่านอาจารย์มาถึงปัจจุบันนี้ก็ ๔ ปีแล้ว ได้ติดตามฟังทั้งทางวิทยุตอนเช้า ตอนค่ำ และอัดเทปไว้ เปิดฟังกลับไปกลับมาในสมัยที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ ฟังทางวิทยุทั้งเอฟ.เอ็ม. และ เอ.เอ็ม.ด้วย และติดตามมาฟังที่นี้ด้วย และคงจะติดตามฟังไปอีกเรื่อยๆ นอกจากนั้นยังถอดคำบรรยายของ ท่านอาจารย์เป็นตัวอักษรด้วย และยังศึกษาตรวจสอบกับหลักฐาน เพราะ ท่านอาจารย์เวลาอธิบายธรรมจะมีหลักฐานอ้างอิงเสมอ คือ ตั้งแต่ผมศึกษามา ตั้งแต่ได้เริ่มฟัง และมีความเข้าใจ ยังไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน แม้เพียงคำพูดเพียง คำเดียวของท่านอาจารย์ที่จะเป็นคำที่ผิด คือ ผิดทั้งจากหลักฐาน และเหตุผลด้วย
เมื่อได้ศึกษามา ก็ได้รับความกรุณาจากท่านอาจารย์ที่บรรยายธรรม บางครั้งสติก็มีเกิดบ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็ยิ่งแน่ใจว่า ธรรมของท่านอาจารย์เป็นธรรมที่ตรงแท้ และเป็นธรรมที่บริสุทธิ์จริงๆ เมื่อได้ยินจดหมายฉบับเมื่อกี้ก็ทำให้ระลึกได้ว่า กิเลสดับได้ยากเหลือเกิน ขออนุโมทนาในการเผยแพร่ธรรมของท่านอาจารย์ ที่เผยแพร่ออกไปกว้างขวางยิ่งขึ้น ผมมีความคิดเห็นเท่านี้
ที่มา ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1505
ผู้ฟัง สมัยนี้คนศึกษาพระพุทธศาสนาโดยเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน คือ ถ้าสิ่งไหนที่ตัวเองไม่เข้าใจจะเห็นว่าหลักฐานต่างๆ นั้นไม่สามารถจะเป็นไปได้ ผม เคยสนทนากับพวกเด็กหนุ่มๆ อายุไม่เกินวัยเบญจเพส เขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์สาวกจะมีฤทธิ์สามารถเหาะเหินเดินอากาศ หรือเดิน บนน้ำ ดำไปในดิน เพราะไม่มีทางพิสูจน์ได้ ไม่เหมือนอย่างวิทยาศาสตร์ซึ่งเขาสามารถจะพิสูจน์ได้ ท่านผู้เขียนจดหมายมาก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งมีความเห็นเหมือนอย่างพวกเด็กๆ ที่ผมเคยสนทนาด้วย เพราะเขาศึกษาธรรมโดยเอาตัวเองเป็น บรรทัดฐาน ไม่ได้ศึกษาธรรมโดยเอาพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเป็นบรรทัดฐาน
ในเรื่องนี้ ผมเองแม้ไม่ได้บรรลุมรรคผล หรือไม่ได้ฌาน แต่ผมมีความเชื่อมั่นจริงจังว่า อิทธิปาฏิหาริย์ในพระพุทธศาสนานั้นมีได้จริงๆ แต่บุคคลผู้นั้นต้องบรรลุฌาน คือ รูปฌาน หรืออรูปฌาน ตามหลักฐานที่ปรากฏในตำรา ไม่ใช่เหมือนอย่างสมัยนี้ที่มีผู้บรรลุฌานเยอะแยะ มีฌาน ๑ ฌาน ๒ วสี ๑ วสี ๒ ซึ่งทำประเดี๋ยวเดียวก็ได้แล้วเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน บางทีก็สามารถดักใจคนอื่นได้ กระผมก็เคยสนทนาด้วย ฌานของบุคคลพวกนี้เรียกว่า ฌานลืมตา หมายความว่า เวลาที่เป็นฌานจิตก็ยังสามารถรู้เรื่องอะไรต่างๆ ได้ แต่ความจริงไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะถ้าจิตที่เป็นฌานจิตเกิดขึ้นแล้ว จะไม่รู้เรื่องอะไรทางตา หู จมูก ลิ้น กายเลย จะมีอารมณ์ดิ่งอยู่เฉพาะแต่ทางมโนทวารเท่านั้น แต่ฌานสมัยนี้ก็มีแพร่หลายเหลือเกิน เดี๋ยวนี้ที่กำลังเผยแพร่กันอยู่ ผมเห็นว่าเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง
การที่บุคคลใดก็ตามมีความเห็นค้านที่อาจารย์บรรยาย ผมเห็นว่า แทนที่จะเข้าใจคนอื่นว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ตัวเขาเองนั่นแหละเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างมหันต์ และรู้สึกว่า จะชักจูงเข้ามาในทางพระพุทธศาสนาให้ถูกต้องได้ยากอย่างยิ่ง
สุ. น่าเห็นใจท่านผู้ฟังท่านนี้ที่ท่านเข้าใจว่า ท่านเข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน และพอใจที่จะให้กล่าวเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน โดยที่ท่านไม่ได้พิจารณาเรื่องของจิตประเภทต่างๆ เช่น รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต เป็นต้น ตามข้อความที่ท่านกล่าวว่า
... ท่านได้อธิบายธรรมเป็นสัมมาทิฏฐิ ก่อประโยชน์ให้แก่ผู้รับฟัง ได้ปัญญา จากการเจริญสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ ด้วยการเจริญวิปัสสนา โดยใช้สติปัฏฐาน ๔ เป็นอาวุธ ใช้มรรคมีองค์ ๘ เป็นทางเดิน และไม่เจริญภวังคฌาน ...
ซึ่งถ้าฟังโดยละเอียดก็จะรู้ได้ว่า ท่านผู้ฟังท่านนี้ยังไม่ได้เข้าใจเรื่องของ จิตประเภทต่างๆ โดยละเอียดจริงๆ เมื่อพอใจเรื่องสติปัฏฐาน และเห็นว่าอิทธิปาฏิหาริย์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็เลยปฏิเสธ เพราะใช้ความเชื่อมั่นในความคิดความเข้าใจของตนเอง และท่านพยายามเปลี่ยนความหมายของอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ เช่น เรื่องคนเดียวเป็นหลายคน ท่านก็อธิบายว่า เป็นการทำจิตที่ปราศจาก นิวรณ์กิเลสให้มีขึ้น ให้เป็นให้ได้มากๆ หลายจิต
ท่านเข้าใจว่า ขณะที่จิตเปลี่ยนสภาพจากนิวรณ์เป็นจิตประเภทต่างๆ นั่นคือคนเดียวก็เป็นหลายคนได้
และสำหรับหลายคนเป็นคนเดียวได้ ท่านอธิบายว่า เป็นการทำจิตที่ประกอบด้วยนิวรณ์ต่างๆ ให้มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ เป็นเอกัคคตา
เมื่อท่านเชื่ออย่างนั้น ท่านก็พิจารณาพระไตรปิฎกตามแนวนั้น และพยายามคิดว่าต้องเป็นอย่างที่ท่านเข้าใจ ตัวอย่างของท่าน คือ เช่น ทำปุถุชนหลายๆ คนให้เป็นอริยบุคคลอันหนึ่งอันเดียวกัน มิใช่ว่าทำคนหลายๆ คนที่ได้แบ่งภาคออกแล้ว ให้กลับมาเป็นคนเดียวอย่างเดิม
ข้อ ๓ ท่านกล่าวว่า
ทำให้ปรากฏก็ได้ หมายความว่า ทำจิตที่ปราศจากกิเลสให้ปรากฏให้เกิดขึ้น ... ก็เป็นเรื่องของจิต แทนที่จะเป็นอิทธิปาฏิหาริย์
ข้อ ๔. ทำให้หายไปก็ได้ หมายความว่า ทำกิเลสในจิตให้ดับสูญ ให้หายไป ให้หมดไป ทำความไม่ติดกุศล ทำความไม่หลงยึดในผลดีที่เราก่อให้หายไป คือ ดับปีติวิสัย ไม่ใช่ว่าเป็นการเสกสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้หายไป (วัตถุต่างๆ ) หรือทำการล่องหนหายตัว ดังที่ได้เข้าใจกันอยู่ในผู้ที่งมงาย
ข้อ ๕ ท่านกล่าวว่า
ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ หมายความว่า แม้กิเลสตัณหาอุปาทาน หรือนิวรณธรรมใดจะหนาเท่าฝา จะแข็งแรงเท่ากำแพง จะเป็นเครื่องปิดกั้นขนาดภูเขา ผู้มีอิทธิวิธีแท้ก็จะต้องรู้แจ้งแทงทะลุ และไม่ติดไม่ยึดได้โดยไม่ยาก ...
คือ ขณะใดที่ปัญญาเกิด ท่านก็คิดว่า นั่นคือทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ คือ ปะปนสมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนา
ข้อ ๖ ท่านกล่าวว่า
ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ หมายความว่า เรื่องที่ไม่น่าจะทำ ให้เกิดได้เป็นได้ ก็เกิดได้
เช่น ดำดิน ไม่น่าเป็นไปได้ ก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้น ท่านก็คิดว่า ถ้าทำตนให้มีอำนาจจิตอยู่เหนือความคิด อยู่เหนือความติดความยึดเดิมๆ เรียกว่า เก่งเหนือธรรมชาติ ท่านเข้าใจว่า ในขณะนั้น ก็เหมือนกับผุดขึ้นดำลง แม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้
ข้อ ๗ ท่านกล่าวว่า
เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ หมายความว่า เป็นเรื่องที่เก่งสามารถยิ่งขึ้นไปอีก แม้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมสัมผัสที่จัดจ้านอย่างยิ่ง ก็สามารถทำให้ง่ายให้สบายได้ เหมือนก้อนน้ำแข็งกลางเตาหลอมเหล็ก
ข้อ ๘ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ หมายความว่า ทำจิตให้ว่างเบาสบาย ปราศจากกิเลสนิวรณ์ เป็นจิตอิสระ ปราศจากเครื่องดึงเครื่องถ่วง ล่องลอยไปไหนๆ ก็ได้ สุดแสนสะดวกสบาย เบา เหมือนนกน้อยมีปีกแข็ง จะไปไหนก็ไปได้ด้วยปีกของตนทั้ง ๒ ข้าง มีจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย มีบาตรเป็นเครื่องบริหารท้อง เป็นการเหาะได้โดยไม่ต้องเหาะ เป็นผู้ที่มีคุณธรรมอันปรากฏเด่น เห็นง่าย สะอาด บริสุทธิ์ ชัดเจน มิใช่งมงายมุ่งหวังที่จะทำตนให้เหาะให้ล่องลอยไปได้ในอากาศ ปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ให้เห็นชัดได้ยาก เป็นการเดินเลี้ยว มิใช่เป็นการเดินตรงเพื่อเข้าหาพระนิพพาน
ข้อ ๙. ลูบคลำพระอาทิตย์พระจันทร์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ หมายความว่า เป็นผู้มีปัญญายิ่งยอด รู้ลึกซึ้งแทงทะลุในนามรูปทุกอย่าง แม้จะลึกลับไกลเกินรู้สุดยากสุดยิ่งขนาดไหน ทั้งเล็กเป็นปรมาณูธุลีละออง (โลกน้อย) และใหญ่โตมโหฬารเป็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ (โลกใหญ่) อันไกลสุดแสนไกลเท่าใดๆ ก็สามารถรู้ได้ไล่ถึง จับลูบเล่นได้อย่างเช่นในฝ่ามือนั่นทีเดียว แต่ใครอื่นจะรู้ด้วยนั้นแสนยาก พระอริยเจ้าผู้มีอิทธิวิธีแท้นั้นท่านย่อมรู้เอง สัมผัสเอง อย่างลูบคลำด้วยฝ่ามือได้จริงๆ
ข้อ ๑๐. ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ หมายความว่า เป็นผู้สามารถ รู้ได้หรือเข้าใจทะลุแจ่มแจ้งไปตลอดในสภาพจิตที่เรียกว่าพรหมโลกได้ กี่ลักษณะ กี่ระดับ กี่ชั้นเชิง ก็แยกออกแบ่งถูก กำหนดสภาพ กำหนดสถานภาพของแต่ละพรหมได้ถูกฝาถูกตัว
นี่เป็นการเอาอิทธิปาฏิหาริย์มาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ท่านเข้าใจว่าเป็นปัญญา
แสดงให้เห็นว่า พระธรรมเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาโดยละเอียดจริงๆ สิ่งใดที่ยังไม่เข้าใจ ก็ควรที่จะได้พิจารณา และศึกษาให้หายสงสัยในสิ่งนั้น แต่ไม่ใช่เมื่ออ่านแล้ว เมื่อทำอิทธิปาฏิหาริย์อย่างนั้นไม่ได้ ก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ หรือคิดว่าเกิดขึ้นมีไม่ได้
ที่มา ...