ความต่างกันของปริยัติกับปฏิบัติ


    . เรื่องอเหตุกจิต โดยเฉพาะทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ก็รู้ตามตำราว่า มีปรากฏอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นเรื่องที่ยาก ลำบากจริงๆ ที่เราจะประจักษ์ ผมอ่าน ตำราที่อาจารย์เขียน แนวทางเจริญวิปัสสนา มีตอนหนึ่งที่ว่า

    เมื่อมีสติรู้สภาพธรรมที่ปรากฏแล้ว จะต้องรู้ด้วยว่า ลักษณะของสภาพธรรม ที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมนั้น มีสภาพธรรมที่แท้จริงที่เป็นลักษณะที่ปรากฏ หรือไม่

    หมายความว่า เมื่อสติเกิดขึ้นแล้วยังไม่พอ จะต้องรู้ด้วยว่า สติที่เกิดขึ้นนั้น รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมที่ปรากฏในขณะนั้นแล้วหรือยัง

    ผมฟังอาจารย์พูดเรื่องทวิปัญจวิญญาณ สติก็เกิดยากแสนยากแล้ว และเมื่อเกิดแล้วก็ยังไม่ค่อยรู้ว่า สภาพธรรมที่ปรากฏเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ไม่ทราบว่า อาจารย์จะช่วยสงเคราะห์อย่างไรบ้าง เพื่อเกื้อกูลให้รู้สภาพธรรมที่ปรากฏในขณะ ที่เห็น ที่ได้ยิน

    สุ. นี่เป็นความต่างกันของปริยัติกับปฏิบัติ เพราะว่าพระผู้มีพระภาค ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง และทรงแสดงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงตามที่ทรงตรัสรู้แล้ว แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่ตรัสรู้ ยังไม่ประจักษ์ลักษณะ ของสภาพธรรม เพียงขั้นการฟัง ก็จะต้องฟังโดยการพิจารณา และต้องมี โยนิโสมนสิการ คือ พิจารณาตามลักษณะของสภาพธรรมด้วยความเข้าใจ ด้วย ความแยบคายโดยถูกต้อง จึงจะรู้ว่า นามธรรมมี

    ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตามีแน่นอน ทุกคนไม่ปฏิเสธ เพราะว่าปรากฏ แต่ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา จะปรากฏไม่ได้ถ้าไม่มีสภาพรู้หรือธาตุรู้ซึ่งเห็น

    ที่กำลังปรากฏนี่ ต้องมีเห็น ถ้าไม่เห็น เช่น กำลังได้ยิน สีสันวัณณะจะ ปรากฏรวมกับเสียงไม่ได้

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ในขั้นของการฟัง ต้องรู้ว่านามธรรมมี แต่เมื่อนามธรรมไม่ใช่สิ่งที่เหมือนรูป หรือเหมือนเสียง หรือเหมือนกลิ่น หรือเหมือนรส หรือเหมือนโผฏฐัพพะที่กระทบสัมผัส หรือใช้หูฟัง ใช้จมูกดม แต่นามธรรมเป็นธาตุรู้ซึ่งไม่มีรูป ใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่อาการรู้นั้นมี ถ้าอาการรู้ไม่มีก็ไม่เห็น ก็ไม่ได้ยิน ก็ไม่ได้กลิ่น ก็ไม่ได้ลิ้มรส ก็ไม่ได้คิดนึก ฉะนั้น ในขณะที่สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีในชีวิตประจำวัน ก็ต้องอาศัยการพิจารณาเพื่อให้สติระลึกในลักษณะที่กำลังปรากฏ เช่น เห็น รู้ว่า ต้องมีสภาพรู้ ต้องเป็นอาการรู้ สิ่งที่ปรากฏทางตาจึงจะปรากฏได้

    ไม่มีวิธีอื่นเลย นอกจากทรงแสดงสัจธรรม ความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ให้ได้พิจารณาจนกระทั่งสติระลึก จนกระทั่งปัญญาพิจารณา และค่อยๆ รู้ขึ้น

    . ทั้งๆ ที่เห็น ทุกคนก็เห็นทั้งนั้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่าสภาพที่เห็น ลักษณะที่เห็นเป็นอย่างไร เห็นอยู่ตลอดเวลา แต่ลักษณะที่แท้จริงของสภาพเห็น อาการเห็นนั้นเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ เป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ

    สุ. แต่มี ใช่ไหม

    . รู้ว่ามี แต่ไม่ประจักษ์

    สุ. ก็เป็นความจริง ทุกคนรู้ว่ามี เห็นก็เห็น ได้ยินก็ได้ยิน แต่ไม่รู้ว่าเป็นนามธรรม หรือไม่รู้ว่านามธรรมเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่กำลังเห็น

    แสดงให้เห็นว่า อวิชชา ความไม่รู้ มาก ถ้าทุกคนรู้ได้อย่างรวดเร็ว พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคงจะไม่ถึงกับไม่น้อมพระหฤทัยที่จะทรง แสดงธรรมเมื่อทรงตรัสรู้ ใช่ไหม

    . ผมอ่านเรื่องพระภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ท่านทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อย พระพุทธองค์ทรงประนีประนอมให้คืนดีกัน ไม่ให้ทะเลาะกัน ก็ยังดื้อ คงจะเหมือนพวกเรานี่แหละที่ดื้อต่อคำสอน สอนเท่าไรๆ ก็ไม่ค่อยจะรู้ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้น ปรากฏอยู่ อย่างเห็นนี่ ก็ยังไม่รู้ลักษณะที่แท้จริงของสภาพเห็น อาการเห็น หรือสภาพได้ยิน อาการได้ยิน เป็นอย่างไรก็ยังไม่ประจักษ์ แสดงว่าจิตใจของมนุษย์ปุถุชนนี่ดื้อมากจริงๆ

    สุ. ค่อยๆ พิจารณาว่า ตอนหลับสนิท ทั้งๆ ที่มีจิต แต่ก็ไม่มีใครเห็นอะไร หลับสนิทมีจิต ไม่ใช่คนตาย จิตต้องเกิดดับดำรงภพชาติ มีอารมณ์ที่ไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ เพราะว่าไม่ใช่สีสันวัณณะของโลกนี้ซึ่งจะเห็นได้ทางตา ไม่ใช่เสียงของโลกนี้ ซึ่งจะรู้ได้ทางหู ค่อยๆ เทียบเคียงไป กำลังหลับไม่เห็น แต่ตื่นขึ้นมาเห็น ก็ต้อง เป็นสภาพรู้ ใช่ไหม

    ค่อยๆ คิด นอนหลับไม่เห็น เพราะฉะนั้น ทันทีที่ลืมตาเป็นสภาพรู้แล้ว คือ เห็น ลักษณะรู้อย่างหนึ่ง คือ เห็น

    ต้องพิจารณา ขณะหลับตา หลับสนิท ไม่เห็น เพราะฉะนั้น ทันทีที่เห็น ต้องเป็นสภาพรู้ เท่านี้เอง

    หลับสนิทไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่เมื่อได้ยินเสียง นั่นเป็นธาตุรู้ รู้อะไร รู้เสียง เสียงปรากฏให้รู้จึงรู้เสียง ในขณะนั้นไม่มีใครบันดาลให้โสตวิญญาณเกิดได้เลย ถ้าเสียงไม่กระทบกับโสตปสาท ไม่ใช่ว่ามีจิตที่คอยอยู่ก่อน และจะเกิดขึ้นทำกิจได้ยิน

    จิตอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม นามธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ ตามชนิด ตามประเภท

    ขณะที่ตื่น ใครจะรู้ได้ว่า อะไรจะปรากฏก่อนทางทวารไหน จะเป็นการรู้ ทางกาย หรือจะเป็นการได้ยินเสียง หรือจะเป็นการได้กลิ่น ไม่มีใครสามารถตระเตรียมอะไรได้เลย

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน เป็นผู้ที่รู้ตามสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย และค่อยๆ พิจารณาจนกว่าจะเข้าใจในลักษณะของสภาพรู้ จนกว่าสภาพรู้จะปรากฏจริงๆ

    และเวลาที่สภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริง ก็พิจารณาดูว่า จะต่างกับ โลกที่เคยปรากฏไหม


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1509


    หมายเลข 13068
    12 ก.ย. 2567