ความตายจะมาถึงในขณะไหน ไม่มีนิมิตล่วงหน้า


    สำหรับเรื่องของท่านพระภิกษุ ๕๐๐ รูปที่ได้ฆ่าตัวตายที่เมืองเวสาลี ถ้าพิจารณาโดยปรมัตถธรรม จะต้องมีวิถีจิตเกิดก่อนจุติจิต เพราะว่าความตายจะมาถึงในขณะไหน ไม่มีนิมิตล่วงหน้าเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ก็ไม่ทราบว่า ก่อนที่ จุติจิตจะเกิด จะเป็นวิถีจิตทางตาที่เห็น หรือเป็นวิถีจิตทางหูที่ได้ยินเสียง หรือเป็น วิถีจิตทางจมูกที่ได้กลิ่น หรือเป็นวิถีจิตทางลิ้นที่ลิ้มรส หรือเป็นวิถีจิตทางกายที่ กระทบสัมผัส หรือเป็นวิถีจิตทางใจที่คิดนึกเรื่องราวต่างๆ

    เมื่อวิถีจิตดับหมดแล้ว จะเป็นภวังคจิต หรือเป็นตทาลัมพนจิต หรือแม้จะไม่มี ตทาลัมพนจิต ไม่มีภวังคจิต เมื่อวิถีจิตดับหมดแล้ว จุติจิตก็เกิดขึ้นได้ และดับไป สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าพิจารณาโดยสภาพความเป็นปรมัตถธรรม ไม่ว่าจะตายโดยวิธีไหนทั้งสิ้น คือ เห็น และจุติจิตก็เกิดต่อจากวิถีจิต หรือทางกายซึ่งกำลังกระทบสัมผัสสิ่งซึ่งไม่น่าพอใจ ทำให้เกิดทุกขเวทนา ความปวดเจ็บมากมายต่างๆ ความป่วยไข้ก็คือวิถีจิตทางกายดับหมดแล้ว จุติจิตก็เกิดขึ้นได้

    ถ้าพิจารณาโดยสภาพของปรมัตถธรรม ก็ไม่ต่างกับขณะหนึ่งขณะใดที่ยัง มีชีวิตอยู่ เพราะว่าขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็มีการรับผลของอกุศลกรรมทางกาย เช่น การป่วยไข้ หรือความเจ็บปวด เมื่อมีกายแล้วต้องมีทุกขเวทนา ปวดตา ปวดหู ปวดจมูก ปวดอวัยวะส่วนต่างๆ มีการเจ็บไข้ โรคภัยต่างๆ ชนิด ซึ่งในขณะที่ยัง ไม่ตายก็เป็นอกุศลวิบาก เป็นผลของอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว แต่เมื่อจะจุติ คือ จะสิ้นชีวิต บางท่านอาจจะมีทุกขเวทนาทางกายมาก ก็เหมือนกับก่อนที่จะตาย ไม่มีอะไรที่ต่างกันเลย จะตายหรือไม่ตาย อกุศลวิบากทางกายก็เกิด เพราะฉะนั้น ถ้าจะตายโดยที่มีอกุศลวิบากทางกาย ปวดเจ็บทรมาน เจ็บไข้ได้ป่วย ก็เหมือนกับขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ว่าจุติจิตเกิดต่อจากนั้น และเปลี่ยนสภาพความเป็นบุคคลนั้นเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการตายโดยอาการอย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นอุบัติเหตุ เจ็บไข้ได้ป่วย หรือจะเป็นการเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ การได้ยินสิ่งที่ไม่น่าพอใจ การได้กลิ่นที่ไม่น่าพอใจ การลิ้มรสที่ไม่น่าพอใจ การกระทบสัมผัสที่ไม่น่าพอใจ ก็เหมือนกับขณะที่ยังไม่ตายนั่นเอง เพียงแต่ว่าจุติจิตยังไม่ได้เกิดขึ้น ยังไม่ได้ทำกิจ ทำให้สูญสิ้นสภาพของความเป็นบุคคลนี้

    เพราะฉะนั้น ทุกคนควรจะคิดว่า พร้อมหรือยัง เท่านั้นเอง ผู้ที่ไม่ประมาทย่อมเพียงแต่คิดว่า ความตายไม่ใช่เรื่องเล่น ความตายเป็นเรื่องจริง ต้องเกิดแน่นอน และจะเกิดหลังจากที่วิถีจิตดับไปแล้ว ทุกขณะ ได้หมด และก่อนจะจุติ บางคนอาจจะมีโลภะมาก บางคนอาจจะมีโทสะมาก บางคนอาจจะมีกุศลมาก ก็เหมือนกับก่อนจะตายเหมือนกัน คือ ก่อนจะตายคนที่โกรธจัดๆ ก็มีเหตุปัจจัยที่จะให้โกรธจัด โกรธรุนแรงเมื่อยังไม่ตาย และเมื่อกำลังจะตาย ถ้ามีเหตุปัจจัยให้โทมนัสเกิดอย่างรุนแรง ก็ห้ามไม่ได้ เพราะเหมือนกับก่อนจะตายก็ยังมีโทสะได้แรงกล้าถึงอย่างนั้น ฉะนั้น ถ้าจุติจิตเกิดต่อจากนั้น ก็ย่อมเป็นไปได้

    เป็นเรื่องปกติธรรมดาจริงๆ สำหรับผู้ที่พิจารณาลักษณะของปรมัตถธรรม และ รู้ว่า ความตาย คือ จุติจิต ซึ่งเกิดขึ้นขณะเดียวหลังจากที่วิถีจิตทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทางดับไป ส่วนการที่จะเกิดโลภะก่อนจุติ หรือจะเกิดโทสะก่อนจุติ หรือจะเกิด กุศลจิตก่อนจุติ ก็เหมือนกับชีวิตประจำวันนั่นเอง

    เมื่อเป็นโดยลักษณะนี้ ทุกท่านก็น่าจะพิจารณาว่า ถ้าต้องตายโดยอาการอย่างไรๆ ก็แล้วแต่ จะโดยอุบัติเหตุ หรือโดยเจ็บไข้ได้ป่วยก็ตาม พร้อมหรือยัง ที่จะตาย

    ถ้าเป็นผู้ที่พร้อม คือ เป็นผู้ที่รู้ลักษณะของปรมัตถธรรม และไม่หวั่นไหว เพราะว่าก็เหมือนกับทุกๆ วัน เพียงแต่ว่าสิ้นสุดสภาพของความเป็นบุคคลนี้ และกรรมหนึ่งก็ทำให้ปฏิสนธิเกิดสืบต่อ ไม่จบสิ้น ถ้ายังไม่ได้ดับกิเลสถึงความเป็น พระอรหันต์


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1507


    หมายเลข 13082
    14 ก.ย. 2567