สันตีรณจิต*


    อเหตุกจิตมี ๑๕ ดวง เป็นอกุศลวิบากจิต ๗ ดวง เป็นกุศลวิบากจิต ๘ ดวง กล่าวถึงแล้ว ๑๒ ดวง ยังเหลืออีก ๓ ดวง คือ สันตีรณจิต

    สันตีรณจิตเป็นจิตที่เกิดต่อจากสัมปฏิจฉันนะ แต่ต่างกับวิบากอื่นๆ ที่เป็น อเหตุกะ คือ วิบากที่เป็นอเหตุกะอื่นๆ มี ๒ ประเภท เป็นกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ เสมอ เพราะเมื่อกรรมมี ๒ อย่าง ผลของกรรมก็ต้องมี ๒ อย่าง คือ เมื่อมีกุศลกรรมก็ต้องมีกุศลวิบาก เมื่อมีอกุศลกรรมก็ต้องมีอกุศลวิบาก

    อเหตุกวิบาก ๑๕ ดวง เป็นอกุศลวิบาก ๗ เป็นกุศลวิบาก ๘ เพราะฉะนั้น ต่างกันที่สันตีรณจิต เพราะนอกจากอกุศลวิบาก ๑ ดวงแล้ว ยังมีกุศลวิบากถึง ๒ ดวง ซึ่งต่างกับสัมปฏิจฉันนะที่มีกุศลวิบาก ๑ ดวง อกุศลวิบาก ๑ ดวง และต่างกับ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ที่มีกุศลวิบาก ๑ ดวง อกุศลวิบาก ๑ ดวง

    สันตีรณจิต ๓ ดวง เป็นอกุศลวิบาก ๑ ดวง เป็นกุศลวิบาก ๒ ดวง ตามอารมณ์ที่ประณีตขึ้น เพราะถ้าเป็นอารมณ์ที่น่าพอใจธรรมดา ก็เป็นสันตีรณกุศลวิบากที่เกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา เกิดต่อจากสัมปฏิจฉันนะที่เป็นกุศลวิบาก แต่ถ้าเป็นอารมณ์ที่ประณีต เป็นอารมณ์ที่เลิศเป็นพิเศษ เมื่อสัมปฏิจฉันนกุศลวิบากดับแล้ว โสมนัสสันตีรณกุศลวิบากเกิดต่อ พิจารณาอารมณ์ที่ประณีตเป็นพิเศษ

    สำหรับเวทนาที่เกิดกับสันตีรณจิต อกุศลวิบาก ๑ ดวงเกิดร่วมกับ อุเบกขาเวทนา และกุศลวิบาก ๒ ดวง ดวงหนึ่งเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา อีก ดวงหนึ่งเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา

    ที่ต้องกล่าวถึงเวทนาที่เกิดกับจิตทุกดวง ก็เพื่อแสดงให้เห็นความต่างกันของจิต แม้ว่าเป็นสันตีรณะ เป็นกุศลวิบาก แต่ดวงหนึ่งเป็นอุเบกขา อีกดวงหนึ่งเป็นโสมนัสตามอารมณ์ที่ปรากฏ เลือกไม่ได้ว่าจะให้สันตีรณจิตดวงนี้เกิด หรือดวงนั้นเกิด เพราะต้องเป็นไปตามอารมณ์ที่กระทบกับแต่ละทวาร

    สำหรับลักษณะของสันตีรณจิตทั้ง ๓ ดวง ข้อความใน อัฏฐสาลินี มีว่า

    สฬารัมมณะ วิชชานลักขณา มีการรู้อารมณ์ ๖ เป็นลักษณะ

    คือ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ สันตีรณะสามารถรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๖ ทาง

    สันตีรณาทิรสา มีการพิจารณาอารมณ์เป็นต้นเป็นรสะ

    ตถาภาวปัจจุปัฏฐานา มีภาวะอย่างนั้น คือ พิจารณาอารมณ์ เป็นอาการปรากฏ

    หทยวัตถุปทัฏฐานา มีหทยวัตถุเป็นเหตุใกล้ให้เกิด

    ดูเหมือนไม่น่าจะต้องทรงแสดงให้ละเอียดอย่างนี้เลย ทำให้ยุ่งยาก หรือทำให้เบื่อ แต่ความจริงเพื่อทำให้เห็นความละเอียดของจิตแต่ละประเภทว่า แม้เป็นจิตที่มี สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์รูปเดียวที่ยังไม่ดับเลย แต่จิตแต่ละประเภทก็เกิดขึ้น มีลักษณะต่างกัน และทำกิจการงานต่างกัน ซึ่งสันตีรณจิตเป็นวิบากจิตที่ ต่างกับสัมปฏิจฉันนะ และทวิปัญจวิญญาณตามที่ได้กล่าวถึงแล้ว คือ นอกจาก สันตีรณจิตจะมี ๓ ดวงแล้ว ยังต่างกันโดยอารมณ์

    สำหรับจักขุวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก จะมีอารมณ์เดียว คือ เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา โสตวิญญาณไม่ว่าจะเป็นกุศลวิบากหรือ อกุศลวิบากก็มีอารมณ์เดียว คือ ได้ยินเสียงที่ปรากฏทางหู ฆานวิญญาณมีอารมณ์เดียว คือ กลิ่น ชิวหาวิญญาณมีอารมณ์เดียว คือ รส กายวิญญาณมีอารมณ์เดียว คือ โผฏฐัพพะ

    นี่คือลักษณะของทวิปัญจวิญญาณ แต่สำหรับสัมปฏิจฉันนะสามารถรับรู้อารมณ์ต่อได้ทั้ง ๕ อารมณ์ ทีละอารมณ์ แต่สันตีรณะสามารถรู้อารมณ์เพิ่มขึ้นเป็น ๖ ทวาร

    นี่คือความต่างกันของจิตแต่ละประเภท จักขุวิญญาณรู้อารมณ์เดียวทาง ทวารเดียว โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณรู้อารมณ์เดียวทางทวารเดียว สัมปฏิจฉันนะรู้ได้ ๕ อารมณ์ทางทวาร ๕ ทวาร ทีละทวาร แต่สันตีรณะรู้อารมณ์ได้ ๖ อารมณ์ และ ๖ ทวาร ทีละทวาร

    ขณะนี้กำลังมีสันตีรณะ แต่เมื่อไม่สามารถประจักษ์ลักษณะของสันตีรณะ ก็เพียงฟังให้เข้าใจว่า มีจิตที่ทำกิจสันตีรณะต่อจากสัมปฏิจฉันนะในขณะที่รูปยังไม่ดับ ในขณะที่กำลังเห็น หรือกำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

    อกุศลวิบาก ๗ ดวง กุศลวิบาก ๘ ดวง รวมเป็นอเหตุกวิบาก ๑๕ ดวง ในชีวิตประจำวัน มีใครขาดจิตดวงไหนใน ๑๕ ดวงนี้บ้างไหม ไม่รู้ แต่ไม่ขาด มีครบทุกคน

    ต่อไปขอกล่าวถึงความต่างกันของทวิปัญจวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต และ สันตีรณจิตโดยกิจ คือ โดยหน้าที่ เพราะว่าจิตทุกดวงที่เกิดขึ้นมีกิจ ไม่มีจิตสักขณะเดียวที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ทำกิจการงานอะไร

    ในขณะที่ท่านผู้ฟังทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในวันหนึ่งๆ ไม่ว่าจะทำธุรกิจการงาน หรืออาจจะสนุกสนานรื่นเริงต่างๆ ท่านอาจจะคิดว่า ขณะนั้นท่านกำลังทำกิจนั้นๆ แต่ตามความเป็นจริง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพของจิต แต่ละขณะที่เกิดขึ้นทำกิจเฉพาะของตนๆ โดยก้าวก่ายหน้าที่กันไม่ได้ด้วย จิตประเภทใดมีกิจอย่างใด ก็ต้องทำกิจนั้น ทำกิจอื่นไม่ได้

    สำหรับทวิปัญจวิญญาณมี ๑๐ ดวง ทำ ๕ กิจ ประเภทละกิจ คือ จักขุวิญญาณทำทัสสนกิจ กิจเห็น โสตวิญญาณในขณะนี้ทำสวนกิจ กิจได้ยิน ถ้ามีการได้กลิ่นในขณะนี้คือฆานวิญญาณทำฆายนกิจ กิจได้กลิ่น ถ้ามีการลิ้มรสในขณะใดขณะนั้นเป็นชิวหาวิญญาณเกิดขึ้นทำสายนกิจ กิจลิ้มรสที่กำลังปรากฏ และขณะนี้ที่มีการกระทบสัมผัสสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็นกายวิญญาณทำผุสสนกิจ กิจ รู้สิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อนที่กำลังปรากฏ

    นี่คือกิจของทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ซึ่งมี ๕ กิจ

    สำหรับสัมปฏิจฉันนจิต มีกิจเดียว คือ รับอารมณ์ต่อจากจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ เกิดได้ ๕ ทวาร

    สันตีรณจิตทำกิจได้ ๕ กิจ และทำกิจได้ ๖ ทวาร รวมทั้งทวารวิมุตติด้วย นี่คือความต่างกันของอเหตุกวิบากจิตซึ่งเกิดขึ้นเพราะกรรม

    สำหรับสันตีรณจิต มี ๓ ดวง ทำได้ ๕ กิจ แต่ต้องแยกประเภทกัน เพราะว่าอุเบกขาสันตีรณจิตเท่านั้นที่ทำได้ถึง ๕ กิจ ส่วนโสมนัสสันตีรณจิตทำกิจได้เพียง ๒ กิจเท่านั้น

    อุเบกขาสันตีรณจิตที่ทำได้ ๕ กิจ คือ ปฏิสนธิกิจ ๑ ภวังคกิจ ๑ จุติกิจ ๑ สันตีรณกิจ ๑ และตทาลัมพนกิจ ๑

    อกุศลวิบากมีเพียง ๗ ดวง เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม จิตดวงไหนจะทำปฏิสนธิกิจ ในเมื่ออกุศลวิบากมีเพียง ๗ ดวง จักขุวิญญาณทำกิจอื่นไม่ได้ นอกจากเห็นทุกขณะที่เกิด ไม่ว่าในอดีตแสนโกฏิกัปป์ ในปัจจุบัน หรือในอนาคต จักขุวิญญาณก็ทำได้กิจเดียว คือ เห็น โสตวิญญาณก็ทำกิจได้ยิน ตลอดไปจนถึงสัมปฏิจฉันนะก็ทำกิจรับอารมณ์ต่อจากจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ เป็นต้น เพราะฉะนั้น เมื่อกรรมย่อมให้ผลทำให้ปฏิสนธิ และอกุศลวิบากจิตก็มีเพียง ๗ ดวงเท่านั้น จึงเป็นหน้าที่ของอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากทำปฏิสนธิกิจ

    ในเมื่อเป็นผลของอกุศลกรรม เวลาที่อกุศลกรรมให้ผล อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบากก็ทำกิจปฏิสนธิในอบายภูมิ คือ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือว่าเกิดในนรก ฉะนั้น เวลาเห็นสัตว์เดรัจฉาน ทราบได้เลยใช่ไหมว่า ปฏิสนธิจิตเป็นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก

    ที่กล่าวว่า อุเบกขาสันตีรณะทำปฏิสนธิกิจได้ แต่สำหรับคนที่เป็นมนุษย์ ปฏิสนธิจิตไม่ใช่อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก และไม่ใช่อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่พิการตั้งแต่กำเนิด สำหรับผู้ที่บ้า ใบ้ บอด หนวก พิการตั้งแต่กำเนิด เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ต้องเป็นผลของกุศลกรรม แต่เป็นผลของกุศลที่มีกำลังอ่อนมาก จึงไม่ประกอบด้วยเหตุที่เป็นโสภณะ คือ ไม่ประกอบด้วยอโลภเหตุ ไม่ประกอบด้วย อโทสเหตุ ไม่ประกอบด้วยอโมหเหตุ เพราะฉะนั้น อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากจึง ทำกิจปฏิสนธิในภูมิมนุษย์ เป็นสุคติภูมิ เป็นผลของกุศล แต่เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อน จึงเป็นผู้ที่พิการตั้งแต่กำเนิด คือ อาจจะตาบอด หรืออาจจะหูหนวก หรืออาจจะเป็นบ้าใบ้ตั้งแต่กำเนิด ไม่ใช่หลังจากปฏิสนธิซึ่งเคยมีจักขุวิญญาณ และมีอุบัติเหตุทำให้จักขุปสาทไม่เกิด ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องเป็นตั้งแต่กำเนิด

    ใครก็ตามที่ไม่ได้พิการตั้งแต่กำเนิด ในขณะนี้ก็รู้ได้ว่า ปฏิสนธิจิตไม่ใช่ อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่พิการตั้งแต่กำเนิด ปฏิสนธิจิตเป็น มหาวิบาก เป็นผลของกุศลที่เกิดร่วมกับโสภณเหตุ คือ อโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และสำหรับบางท่านก็มีอโมหะหรือปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    นี่เป็นความต่างกัน คือ อุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก ๑ และอกุศลวิบาก ๑ ทำกิจได้ ๕ กิจ เมื่อทำปฏิสนธิกิจได้แล้ว ต้องทำภวังคกิจได้ด้วย เพราะแต่ละบุคคลก็มีปฏิสนธิจิตเพียงขณะเดียว คือ ขณะแรกที่เกิดขึ้นในชาตินี้เท่านั้น ต่อจากนั้นก็เป็นภวังค์จนกว่าจะถึงจิตดวงสุดท้าย คือ จุติจิต ที่จะทำกิจเคลื่อน สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เมื่อปฏิสนธิจิตของสัตว์เดรัจฉานเป็นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก ภวังคจิตของสัตว์นั้นก็ต้องเป็นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก และจุติจิตก็ต้องเป็น อุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก สิ้นสุดสภาพของการเป็นสัตว์บุคคลนั้นในชาตินั้น

    สำหรับ ๓ กิจนี้ จิตใดที่ทำปฏิสนธิกิจ จิตประเภทเดียวกันนั้นเกิดขึ้นอีก ทำภวังคกิจ ระหว่างที่ไม่มีการรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และจิตประเภทนั้นจะเกิดอีกเป็นครั้งสุดท้าย ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนั้น

    สำหรับอุเบกขาสันตีรณะ จิตดวงนี้ทำกิจได้มากกว่าจิตดวงอื่นๆ ทั้งหมด ใน ๘๙ ประเภท หรือ ๑๒๑ ประเภท คือ ทำกิจได้ถึง ๕ กิจ

    ผ่านไป ๓ กิจแล้ว คือ ปฏิสนธิกิจ ภวังคกิจ จุติกิจ และเมื่อมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้โผฏฐัพพะแต่ละครั้ง และสัมปฏิจฉันนจิต ดับไป สันตีรณจิตต้องเกิดขึ้นทำสันตีรณกิจอีกกิจหนึ่ง เป็น ๔ กิจ

    และถ้าอารมณ์นั้นยังไม่ดับไป เพราะแม้ว่ารูปจะเกิดดับอย่างเร็วมากแต่ก็ ช้ากว่าจิต คือ รูปๆ หนึ่งที่เกิดจะดับเมื่อจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เมื่อรูปใดเกิด และกระทบกับปสาทรูป กระทบกับภวังค์ ตลอดไปจนกระทั่งวิถีจิตถึงชวนวิถีแล้ว รูปนั้นยังไม่ดับ เพราะถ้านับโดยขณะจิตแล้ว ตั้งแต่อตีตภวังค์ถึงชวนจิตจะเป็นเพียง ๑๕ ขณะ รูปยังมีเหลืออีก ๒ ขณะ ซึ่งผู้ที่เกิดในกามภูมิ มีความยินดีติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะมาก มีใครบ้างที่ไม่ติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะในวันหนึ่งๆ

    ชีวิตประจำวันเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า ทุกคนติดข้องอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ไม่ใช่แต่เฉพาะในชาตินี้ชาติเดียว กี่แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ก็ติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ จนกระทั่งแม้เกิดอีกในปัจจุบันชาตินี้ ก็เกิดในกามภูมิ คือ ภูมิที่เต็มไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ความติด ความพอใจ เยื่อใยในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แม้ว่ารูปจะมีอายุเพียง ๑๗ ขณะ ยังไม่ดับ ยังเหลืออีกเพียง ๒ ขณะ วิบากจิตก็เกิดขึ้นรู้รูปนั้นต่ออีก ๒ ขณะจนรูปดับ ภวังคจิตจึงเกิดสืบต่อ

    เพราะฉะนั้น สันตีรณจิตเกิดหลังจากที่ชวนจิตดับ ทำตทาลัมพนกิจ คือ รับอารมณ์ต่อจากชวนะเมื่อรูปนั้นยังไม่ดับทางปัญจทวาร แต่สำหรับสันตีรณจิตเกิดได้ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็เกิดได้ แม้ทวารวิมุตติ คือ ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจ สันตีรณจิตก็เกิดได้ แสดงให้เห็นถึงสภาพของจิตประเภทนี้ว่า ต่างกับอเหตุกวิบากอื่นๆ

    เวลาที่ทำตทาลัมพนกิจทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางปัญจทวาร รู้รูปที่ยังไม่ดับ เพราะถ้ารูปดับไปแล้ว วิถีจิตทางจักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร จะเกิดต่อไม่ได้ ถ้ารูปดับแล้วจะบอกว่ายังเห็นไม่ได้ ถ้าเสียงดับแล้วจะบอกว่ายังได้ยินไม่ได้ ฉะนั้น สำหรับจักขุทวารวิถีจิต โสตทวารวิถีจิต ฆานทวารวิถีจิต ชิวหาทวารวิถีจิต กายทวารวิถีจิต ต้องรู้รูปที่ยังไม่ดับ ไม่ว่าจะเป็นจิตใดๆ ก็ตาม ที่เป็นวิถีจิตทางปัญจทวาร ชื่อว่าต้องมีรูปที่ยังไม่ดับเป็นอารมณ์

    สำหรับสันตีรณะที่เกิดทางปัญจทวาร มีรูปที่ยังไม่ดับเป็นอารมณ์ ไม่ว่าจะทำสันตีรณกิจ หรือตทาลัมพนกิจ แต่สันตีรณจิตก็ยังเกิดทางมโนทวารวิถีได้

    การรู้อารมณ์ในวันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่า สลับนับไม่ถ้วน ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ก็ดูเหมือนได้ยินด้วย และคิดนึกด้วย สลับกันไป อาจจะได้กลิ่น หรืออาจจะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แสดงว่า วิถีจิตแต่ละวาระเกิดดับสลับกันเร็วมาก

    สำหรับวิถีจิตทางปัญจทวารทางหนึ่งทางใดที่ดับไป ต้องมีภวังคจิตเกิดคั่น และหลังจากนั้นมโนทวารวิถีจิตก็รับรู้สิ่งที่ทางปัญจทวารวิถีรู้ต่อ โดยที่ไม่มี จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะเกิดเลย เพราะสำหรับจักขุวิญญาณต้อง เห็นจริงๆ และสัมปฏิจฉันนะรับต่อ สันตีรณะพิจารณาต่อ ถ้าเป็นเสียงทางหู ก็ต้องโสตวิญญาณได้ยินจริงๆ และสัมปฏิจฉันนะรับต่อ สันตีรณะพิจารณาต่อ

    แต่สำหรับทางมโนทวารไม่ใช่อย่างนั้น มโนทวารวิถีไม่มีจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณเลย มโนทวารวิถี จะเริ่มด้วยมโนทวาราวัชชนจิต ซึ่งได้เคยกล่าวถึงแล้วครั้งหนึ่งแต่ยังไม่ได้กล่าวถึง โดยละเอียด แต่ให้ทราบว่า การคิดนึกทางใจเป็นวิถีจิต ไม่ใช่ภวังคจิต จะมีกิริยาจิต คือ มโนทวาราวัชชนจิต เกิดก่อน และชวนจิตเกิดต่อทันที และ ถ้าเป็นอารมณ์ที่ปรากฏชัดเจน จะมีตทาลัมพนจิตด้วย ซึ่งสันตีรณจิตสามารถทำ ตทาลัมพนกิจทางมโนทวาร

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1514

    เพราะทุกคนห้ามไม่ได้ ใช่ไหม เห็นแล้วให้เป็นกุศล อยากจะเป็นอย่างนั้นเหลือเกิน บางคนบอกว่า ทำไมเห็นแล้วสติปัฏฐานไม่เกิด หรือทำไมเห็นแล้วกุศลจิตไม่เกิด ก็เป็นเรื่องของทำไม แต่จะเข้าใจคำตอบว่าทำไมเมื่อได้ศึกษาโดยละเอียดว่า สภาพธรรมแต่ละขณะเป็นอนัตตาจริงๆ ไม่มีใครบังคับให้จิตดวงนี้เกิดก่อนดวงนั้น และการสะสมความไม่รู้ในอดีตอนันตชาตินั้นมากมายพร้อมทั้งโลภะบ้าง โทสะบ้าง แต่เมื่อถึงชาตินี้ก็บอกว่า ทำไมเห็นแล้วกุศลจิตไม่เกิด ซึ่งก็น่าจะมีคำตอบได้ว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามการสะสม เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น สำหรับทางใจ ให้ทราบว่า สันตีรณจิตเกิด แต่ไม่ได้ทำ สันตีรณกิจ ทำตทาลัมพนกิจ เพราะว่าบางวันจิตใจเต็มไปด้วยเรื่องที่หมกมุ่นครุ่นคิด ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นก็ดับไปแล้ว อย่างเสียงที่ได้ยิน ไม่มีใครสามารถเก็บห่อรวบรวมเอาไว้ดูได้ ไม่ว่าจะเป็นคำชม หรือคำนินทาว่าร้ายต่างๆ ก็ตาม สภาพธรรมของนามธรรม และรูปธรรมเกิด และดับสูญสิ้นไปหมดไม่เหลือเลย แต่ทำไมยังคิดถึงคำที่ได้ยิน และไม่ลืม ขณะนั้นก็แสดงว่า มีตทาลัมพนกิจ โดยสันตีรณจิตทำกิจตทาลัมพนะด้วย เพราะว่าธรรมดาของการรู้อารมณ์ทางใจ จะไม่มีจิตเกิดมากเหมือนทางปัญจทวาร เนื่องจากอารมณ์ไม่ได้กระทบปสาทจริงๆ แต่ใจสามารถคิดได้ เคยเห็น ดับไปแล้ว ยังคิดถึง สิ่งที่เห็นอีก เคยได้ยิน ดับไปแล้ว ก็ยังคิดถึงสิ่งที่ได้ยินอีก เคยได้กลิ่น ดับไปแล้ว ก็ยังคิดถึงกลิ่นที่เคยได้กลิ่นนั้นอีก

    แสดงให้เห็นว่า ทางใจไม่ต้องอาศัยรูปมากระทบ ทางใจมีมโนทวาราวัชชนจิตที่เกิดขึ้นรำพึงถึงหรือนึกถึงอารมณ์นั้น และทันทีที่มโนทวาราวัชชนจิตดับ โลภมูลจิต ก็เกิด หรือโทสมูลจิตก็เกิด หรือกุศลจิตก็เกิด และถ้าเป็นอารมณ์ที่ชัดเจนก็มี ตทาลัมพนจิตเกิดต่อจากกุศล และอกุศลนั้น ซึ่งสันตีรณจิตทำตทาลัมพนกิจได้ทั้ง ๖ ทวาร

    สำหรับขณะที่ทำกิจปฏิสนธิ ทำกิจภวังค์ ทำกิจจุติ สันตีรณจิตไม่ได้อาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลย เพราะจิตใดๆ ก็ตามที่ทำปฏิสนธิกิจ เกิดขึ้นไม่ต้องอาศัยทวาร ก็รู้อารมณ์ได้ เพราะว่าจิตทุกขณะทุกประเภทต้องมีอารมณ์ เนื่องจากจิตเป็นสภาพรู้ จะมีจิตเกิดขึ้นโดยไม่มีอารมณ์ไม่ได้ ไม่ว่าจะอาศัยทวารหรือไม่อาศัยทวาร จิตก็เป็นสภาพที่รู้อารมณ์ แต่ถ้าเป็นปฏิสนธิจิต รู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวาร ขณะที่เป็นภวังคจิตก็รู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวาร ขณะที่เป็นจุติจิตก็รู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวาร ซึ่งทุกท่านพิสูจน์ได้ ใช่ไหม

    ปฏิสนธิจิตดับไปนานแล้ว ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๖๐ ปี ๗๐ ปี แล้วแต่อายุของ แต่ละบุคคล และเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียว ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ จุติจิตก็ยังไม่เกิด แต่ที่จะรู้ว่าจิตที่ทำภวังคกิจไม่อาศัยทวาร ก็คือ ในขณะที่นอนหลับสนิท หรือขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่คิดนึกใดๆ ทั้งสิ้น ในขณะนั้นต้องมีจิต และต้องมีอารมณ์ แต่ไม่ต้องอาศัยทวารเลย และเมื่อไม่อาศัยทวาร จึงไม่เห็นสิ่งที่ปรากฏในโลกนี้ ไม่ได้ยินเสียงของโลกนี้ ไม่ได้กลิ่นของโลกนี้ ไม่ได้ลิ้มรสของโลกนี้ ไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสอ่อนแข็ง เย็นร้อน ตึงไหวของโลกนี้ และไม่ได้คิดนึกเรื่องราวของโลกนี้เลย

    ถ้าเป็นความคิดนึกทางใจ เรื่องของชาตินี้ทั้งนั้น ใช่ไหม เรื่องของโลกนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน โลกไหน ดาวดวงไหนก็ตามแต่ ก็ยังเป็นโลกนี้ที่กำลังมีชีวิตอยู่

    นี่คือการรู้อารมณ์ทางทวารหนึ่งทวารใด และทางใจก็คิดนึกเรื่องของโลกนี้ แต่เวลาที่หลับสนิท โลกนี้ไม่ปรากฏ แต่จิตไม่ได้สูญหาย ขณะนั้นเป็นภวังค์ เกิดดับ รู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวาร

    เพราะฉะนั้น เมื่อสันตีรณจิตสามารถทำปฏิสนธิกิจ ภวังคกิจ และจุติกิจด้วย สันตีรณจิตจึงรู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวารด้วย ในขณะที่ทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ

    ขณะนี้ที่ไม่ใช่ภวังค์ ทำสันตีรณกิจ และตทาลัมพนกิจ แต่ระหว่างที่มีภวังค์คั่นแต่ละวาระที่เห็นได้ยินแต่ละทวาร ขณะนั้นเป็นภวังค์ สำหรับผู้ที่ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่สันตีรณจิตที่ทำภวังคกิจ แต่สำหรับผู้ที่ปฏิสนธิในอบายภูมิ ขณะนั้นที่เป็นภวังค์เป็นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก และสำหรับผู้ที่พิการตั้งแต่กำเนิด ในขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่คิดนึก ขณะที่เป็นภวังค์นั้น เป็นสันตีรณกุศลวิบาก

    ถ. ขณะที่สันตีรณจิตทำตทาลัมพนกิจ ขณะนั้นสันตีรณจิตพิจารณาอารมณ์หรือเปล่า

    สุ. ไม่ได้ทำสันตีรณกิจ เพราะฉะนั้น ไม่ได้พิจารณาอารมณ์

    ถ. สันตีรณจิตที่ทำตทาลัมพนกิจ จะต่างกับสภาพรู้ อาการรู้ตามธรรมดาอย่างไร

    สุ. ต่างกันโดยกิจ เพราะว่าจิตทุกดวงต้องกระทำกิจ สำหรับสันตีรณจิต ทำกิจพิจารณาต่อจากสัมปฏิจฉันนะ และดับไป โวฏฐัพพนจิตเกิดต่อ และกุศลอกุศล ก็เกิดต่อ แต่เมื่ออารมณ์ยังไม่ดับ เมื่อเป็นผู้ที่ติดข้องในอารมณ์ เพราะเป็น กามบุคคล เกิดในกามภูมิ และขณะนั้นกำลังมีกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น เมื่ออารมณ์ยังไม่ดับ วิบากจิตก็เกิดขึ้น กรรม ที่ติดที่พอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ทำให้ตทาลัมพนจิต คือ สันตีรณจิตเกิดขึ้น เพียงแต่รับรู้อารมณ์นั้นต่อจากชวนะเท่านั้นเอง

    คำว่า ตทาลัมพนะ มาจากคำว่า ตัง กับ อารัมมณะ ตัง คือ นั้น เพราะฉะนั้น ตทาลัมพนจิต คือ จิตที่มีอารมณ์นั้น อารมณ์นั้นคืออารมณ์อะไร ก็คือ อารมณ์เดียวกับจักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะซึ่งเป็นวิบากประเภทเดียวกัน เมื่อรูปนั้นยังไม่ดับ ตทาลัมพนจิตก็เกิดขึ้นรับรู้รูปนั้นเพียง ๒ ขณะ และก็ดับ

    ถ. ทำไมวิบากดวงอื่นไม่สามารถทำตทาลัมพนกิจได้

    สุ. วิบากอื่น แสดงอยู่แล้วว่า จักขุวิญญาณทำได้กิจเดียว สัมปฏิจฉันนะ ก็ทำได้กิจเดียว เฉพาะสันตีรณจิตที่ทำหลายกิจ

    ถ. สภาพของสันตีรณจิตพิเศษกว่าจิตดวงอื่นหรือ จึงสามารถทำกิจได้ถึง ๕ กิจ

    สุ. ตามความเป็นจริงแล้ว มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๑๐ ดวง เท่ากับ สัมปฏิจฉันนะ ได้แก่ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ และวิตกเจตสิก วิจารเจตสิก อธิโมกขเจตสิก แต่ทำกิจต่างกัน โดยฐานที่เกิดต่างกัน เมื่อเกิดต่อจากสัมปฏิจฉันนะ ก็ไม่ใช่สัมปฏิจฉันนะ และไม่ได้ทำกิจสัมปฏิจฉันนะ เมื่อเกิดหลังจากสัมปฏิจฉันนะ ก็ทำกิจสันตีรณะ ไม่ใช่สัมปฏิจฉันนะ ทั้งๆ ที่เป็นวิบากจิตเหมือนกัน มีเจตสิกประกอบเท่ากัน แต่เมื่อเกิดต่างฐานเกิดต่างที่กัน สันตีรณจิตจึงไม่ได้ทำกิจ สัมปฏิจฉันนะ และจิตประเภทนั้นแหละทำตทาลัมพนกิจด้วย เมื่อชวนจิตเกิด และดับไป รูปนั้นยังไม่ดับ แต่ไม่ได้ทำสันตีรณกิจ เพราะว่าทำไปแล้ว จนกระทั่งถึง ชวนะดับไปแล้ว มีอารมณ์ที่ยังไม่ดับเหลือเพียง ๒ ขณะ จึงทำตทาลัมพนกิจ

    ถ. วิบากจิต เวลาที่เกิดทำสัมปฏิจฉันนะ ก็เป็นวิบากจิตเหมือนกัน เมื่อเกิดต่อมา ก็เป็นสันตีรณจิต ใช่ไหม

    สุ. ไม่ใช่จิตประเภทนั้น เพราะทำกิจคนละอย่าง เป็นคนละดวง โดย พระสัพพัญญุตญาณแสดงว่า ไม่ใช่จิตประเภทเดียวกัน เพราะวิบากจิตที่เป็นอเหตุกะมีทั้งหมด ๑๕ ดวง

    เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ และไม่สามารถจะรู้ได้ แต่สภาพของจิตต้องเกิดดับสืบต่อกันอย่างนั้น เป็นจิตนิยาม ใครจะเปลี่ยนแปลงจิตนิยามไม่ได้ เป็นธรรมเนียมการเกิดดับสืบต่อเป็นลำดับของจิต

    สำหรับตทาลัมพนจิต น่าสนใจ เพราะต่อไปจะทราบว่า ไม่ใช่แต่เฉพาะ สันตีรณจิต ๓ ดวงเท่านั้นที่ทำตทาลัมพนกิจ จิตอื่นอีก ๘ ดวง คือ มหาวิบาก ก็ทำ ตทาลัมพนกิจด้วย เพราะฉะนั้น จิตที่ทำตทาลัมพนกิจทั้งหมด มี ๑๑ ดวง

    ฟังดูเหมือนไม่น่าสนใจ แต่ที่ควรสนใจ คือ เมื่อเป็นกามบุคคลในกามภูมิ และกำลังมีกามเป็นอารมณ์ ต้องมีวิบากจิตเกิดขึ้นจนรูปนั้นดับไป ต่อเมื่อใดรูปนั้นดับไม่สามารถเป็นอารมณ์ได้ เมื่อนั้นจึงเป็นภวังคจิต มิฉะนั้นแล้ว วิถีจิตจะต้องเกิดขึ้น และรู้รูปนั้นโดยจิตต่างๆ

    นี่แสดงถึงความติดอย่างมากมายในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะถ้าเป็นผู้ที่เห็นโทษของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และรู้จริงๆ ด้วยปัญญาว่า ไม่มีอะไรที่จะกั้นอกุศลที่สะสมมาเนิ่นนานไม่ให้เกิดได้ นอกจากจะอบรมเจริญ สมถภาวนา หรือสติปัฏฐานจนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ถึงขั้นความเป็น พระอนาคามีบุคคล จึงจะดับความติด ความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะได้ เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนาโดยถูกต้องด้วย มหากุศลญาณสัมปยุตต์ ประกอบด้วยปัญญาจริงๆ มีสติสัมปชัญญะรู้ลักษณะ สภาพที่ต่างกันของอกุศลจิต และกุศลจิต และกุศลจิตสงบมั่นคงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ประกอบด้วยความสงบขั้นต่างๆ จนถึงขั้นที่แนบแน่นในอารมณ์ที่ทำให้จิตสงบถึง อัปปนาสมาธิที่เป็นฌานจิต ในวิถีนั้นจะไม่มีตทาลัมพนะ

    เพราะฉะนั้น ตทาลัมพนะจึงเกี่ยวข้องกับกาม รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเท่านั้น โลกุตตรวิถีไม่มีตทาลัมพนะ และฌานวิถีก็ไม่มีตทาลัมพนะ ถ้าตราบใด ยังไม่เป็นความสงบถึงขั้นนั้น ให้ทราบว่า ถ้าอารมณ์ยังไม่ดับ ในขณะนี้ จักขุวิญญาณดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนะดับไปแล้ว สันตีรณะดับไปแล้ว โวฏฐัพพนะดับไปแล้ว ชวนจิต ๗ ขณะดับไปแล้ว อารมณ์ยังไม่ดับ วิบากจิตต้องเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นโดยทำกิจตทาลัมพนะ และเมื่ออารมณ์ดับไปแล้ว จึงเป็นภวังคจิต แต่ถ้า อารมณ์ยังไม่ดับ ต้องมีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น

    ถ. แม้สัตว์นรก ก็มีตทาลัมพนะหรือ

    สุ. ทั้งหมด

    ถ. พระพุทธเจ้ามีตทาลัมพนะไหม

    สุ. ต้องมี ถ้าเป็นกามวิถี

    ถ. แสดงว่า ไม่มีกามวิถีไหนเลยที่รูปยังไม่ดับ จะไม่มีตทาลัมพนะ ใช่ไหม

    สุ. ในเมื่อจักขุวิญญาณเป็นวิบากเกิดได้ สัมปฏิจฉันนะเป็นวิบากเกิดได้ สันตีรณะเป็นวิบากเกิดได้ และการเห็นแต่ละครั้ง การได้ยินแต่ละครั้ง เป็นผลของกรรมที่เป็นกามาวจรกุศล เพราะฉะนั้น ก็ให้ผล คือ เมื่ออารมณ์นั้นยังไม่ดับ ตทาลัมพนจิตต้องเกิดขึ้นรับอารมณ์นั้นต่อโดยชาติวิบาก

    การที่วิบากจิตแต่ละขณะเกิดขึ้น เป็นไปตามอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อเป็นผลของกรรมประเภทใด กรรมประเภทนั้นก็ทำให้วิบากประเภทนั้นๆ เกิดขึ้น ทำกิจนั้นๆ ถ้าเป็นรูปาวจรวิบากก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่เหมือนกับกามาวจรวิบากซึ่งเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส พวกนี้ ถ้าเป็นการเห็น ไม่ว่าจะของใคร แม้แต่ผู้ที่ดับกิเลสแล้วก็ตาม การเห็นเป็นผลของกรรมอะไร กรรมนั้นที่ทำให้รูปนั้นปรากฏ และยังไม่ดับ ก็เป็นปัจจัยทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นทำตทาลัมพนกิจต่อจากชวนจิต

    ถ. สัมปฏิจฉันนะ กับสันตีรณะ ต่างกันแค่กิจ ใช่ไหม เจตสิกเท่ากัน

    สุ. เจตสิกเกิดเท่ากัน ต่างกันที่กิจ เวลานี้ก็มีตทาลัมพนจิต รู้หรือไม่รู้ ไม่สำคัญเลย แต่ถ้ารู้ก็ยังดีกว่าที่ไม่รู้เลยว่า ความติด และผลของกรรมที่เนื่องกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แม้ว่ามีการเห็นการได้ยินจนถึงชวนะแล้ว แต่ถ้ารูปยัง ไม่ดับ วิบากจิตก็เกิดขึ้นทำตทาลัมพนกิจ ๒ ขณะ

    ถ. ตทาลัมพนะของผู้หมดกิเลส ให้ผลอย่างไร

    สุ. วิบากจิตทั้งหมด ไม่ให้ผล เพราะวิบากจิตทั้งหมดเป็นผล

    ถ. เป็นผลอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะยึดหน่วงอารมณ์อีก ก็ ...

    สุ. ไม่ต้องเรียกว่า ยึดหน่วงอารมณ์ เพียงแต่อารมณ์ยังเหลือ ก็ไม่ทิ้ง ตามประสาคนชอบ ถ้ามีของอะไรที่ชอบ เหลือแล้วจะทิ้งไหม อาหารที่ชอบเหลือแล้วยังเก็บ ถ้าชอบ

    ถ. แต่ผู้หมดกิเลสแล้ว ก็หายไปเอง

    สุ. มิได้ นี่เป็นเรื่องของวิบาก ไม่ใช่เรื่องของเหตุ วิบากไม่มีใครสามารถ กั้นได้ ถ้ายังไม่ปรินิพพานต้องมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

    ถ. วิบากให้ผลแล้ว ไม่ให้ผลต่อ อย่างนั้นหรือ

    สุ. วิบากไม่เป็นเหตุให้เกิดผลคือวิบากอีก เพราะว่าวิบากเป็นผลแล้ว โดยกัมมปัจจัยไม่ได้

    ถ. ทำไมเฉพาะสันตีรณจิตเท่านั้นที่ทำตทาลัมพนกิจได้ แต่สัมปฏิจฉันนจิต แม้จะเป็นวิบากจิตคล้ายๆ กัน แต่ทำตทาลัมพนกิจไม่ได้

    สุ. นี่เป็นปัญหาที่น่าคิด น่าสงสัย น่าถามมาก คือ อุเบกขาสัมปฏิจฉันนะเป็นอเหตุกวิบาก มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๑๐ ดวง สันตีรณจิตก็เป็นอเหตุกะ เป็นวิบาก เป็นอุเบกขา และมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๑๐ ดวง เท่ากันหมดทุกอย่าง แต่ทำไม สัมปฏิจฉันนะทำสันตีรณกิจไม่ได้ ทำตทาลัมพนกิจไม่ได้ และทำกิจอื่นไม่ได้

    เพราะว่าเพียงการเกิดที่ต่างกันเท่านั้นเอง จึงจำแนกประเภทของจิตออกไป ว่า ทันทีที่จักขุวิญญาณดับ จิตที่เกิดต่อ รับอารมณ์นั้นต่อ และข้อความในอรรถกถามีว่า โดยนิยาม คือ การเกิดดับสืบต่อกัน ไม่มีใครบอกว่า คนนี้ชื่อ ปัญจทวาราวัชชนะ หรือคนนั้นชื่อสัมปฏิจฉันนะ คนนี้ชื่อสันตีรณะ ไม่มีใครสั่ง ไม่มีใครบอกว่า ให้สัมปฏิจฉันนจิตเกิด และดับไป และให้สันตีรณจิตเกิด และดับไป แต่เป็นสภาพการเกิดดับสืบต่อกันของจิต ซึ่งเป็นอย่างนี้ ทันทีที่จักขุวิญญาณดับ จิตที่เกิดต่อมีเจตสิกประกอบอย่างนี้ เป็นวิบากอย่างนี้ ทำกิจรับต่อเท่านั้น จบกิจของจิตนี้ จิตขณะต่อไป ไม่ได้ทำกิจอย่างสัมปฏิจฉันนะ แม้ว่าจะเป็นวิบากจิตที่มี เจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่ากัน แต่ทำอีกกิจหนึ่ง คือ สันตีรณะ

    และจิตที่ทำสันตีรณกิจ ก็ดูเสมือนว่ามีกำลังเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย ทั้งๆ ที่ เจตสิกประกอบเท่ากันก็จริง แต่โดยกิจการงานหน้าที่ จักขุวิญญาณทำอะไรไม่ได้เลย เห็นอย่างเดียวเท่านั้น เพียงเห็นจริงๆ ปัญญาอะไรๆ ก็ไม่มีเกิดร่วมด้วยทั้งนั้น ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ความหมายของสิ่งที่เห็นก็ไม่รู้ทั้งสิ้น เพียงเห็นเท่านั้น นั่นเป็นหน้าที่ของจักขุวิญญาณ เมื่อดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนะก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่รับไว้เท่านั้น หมดหน้าที่ของสัมปฏิจฉันนะ จบไปหนึ่งกิจ

    เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดต่อ ไม่ได้ทำกิจนั้น เป็นกิจอีกประเภทหนึ่ง ซึ่ง ถ้าพิจารณาดูคล้ายกับว่ามีกิจมากกว่าสัมปฏิจฉันนะ คือ พิจารณา แม้ว่าเจตสิกที่ประกอบเท่ากัน

    บางทีคนที่มีฐานะเท่ากัน แต่ทำงานรับผิดชอบมากกว่ากันก็ได้ ใช่ไหม เงินเดือนเท่ากัน ความรู้เท่ากันทุกอย่าง แต่ความรับผิดชอบมากกว่ากันได้ เพราะฉะนั้น สันตีรณะพิจารณาอารมณ์ เมื่อสันตีรณะเป็นจิตอีกดวงหนึ่ง ไม่ใช่สัมปฏิจฉันนะ และเป็นจิตที่สามารถกระทำกิจต่อจากสัมปฏิจฉันนะ คือ สามารถพิจารณาอารมณ์ ด้วยเหตุนี้ จิตนี้ที่ทำกิจต่อจากสัมปฏิจฉันนะ สามารถพิจารณาอารมณ์ จึงสามารถทำตทาลัมพนกิจได้ และทำปฏิสนธิ ภวังค์ จุติได้


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1515


    หมายเลข 13089
    14 ก.ย. 2567