ใส่ใจลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏที่ละขณะ


    ในขณะที่นามธรรมปรากฏ หรือรูปธรรมปรากฏ ก็เพราะสติระลึกที่ลักษณะ ของนามธรรมนั้น หรือระลึกที่ลักษณะของรูปธรรมนั้น

    . อีกคำถามหนึ่ง สืบเนื่องมาจากคำถามของพระคุณเจ้าอีกเหมือนกัน ที่ท่านกล่าวถึงความต่างของอารมณ์ เช่น อารมณ์ทางตา สีต่างๆ ก็เป็นสีแดง สีเหลือง สีเขียว อะไรอย่างนี้ อาจารย์ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะสติเกิดเป็น สติปัฏฐาน ขณะนั้นไม่ใส่ใจ หมายถึงว่าไม่ใส่ใจในนิมิตอนุพยัญชนะ ใช่ไหม

    สุ. ถูกต้อง

    . แต่จะต้องใส่ใจในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ใช่ไหม

    สุ. เวลานี้สภาพธรรมกำลังปรากฏทางตา ประโยชน์ที่สุดของพระธรรม ซึ่งเป็นสัจจธรรม คือ ทุกท่านสามารถพิสูจน์ได้ทันที ทางตามีสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใส่ใจว่าเป็นสีต่างๆ ทั้งๆ ที่เป็นสีต่างๆ เหมือนเสียง เสียงก็มีเสียงต่างๆ เสียงสูง ก็มี เสียงต่ำก็มี เสียงเล็ก เสียงใหญ่ เสียงทุ้ม เสียงพร่า เสียงแหบ มีหลายๆ เสียง เราจะเปลี่ยนลักษณะสภาพของเสียงนั้นไม่ได้เลย ถ้าเป็นเสียงสูง ลักษณะของเสียงสูงก็เกิดเพราะเหตุปัจจัยที่ทำให้เสียงนั้นสูง ถ้าเป็นเสียงต่ำ เสียงต่ำนั้นก็เกิดเพราะ เหตุปัจจัยที่ทำให้เสียงนั้นต่ำ เราเปลี่ยนปัจจัย และเปลี่ยนเสียงนั้นไม่ได้ แต่ลักษณะของเสียง คือ เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏเมื่อกระทบกับโสตปสาทรูปชั่วขณะที่แสนสั้น ซึ่งทั้ง ๒ อย่าง คือ ทั้งโสตปสาทรูป และเสียงเป็นปัจจัยให้โสตวิญญาณคือจิตได้ยิน ที่กำลังได้ยินในขณะนี้เกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ใส่ใจในเสียงว่าสูงหรือต่ำเพราะกำลังเข้าใจ ในลักษณะของเสียง เช่น ในขณะนี้จะเป็นเสียงสูงเสียงต่ำอะไรไม่สนใจ แต่สนใจรู้ว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง หมดแล้ว สภาพธรรมนั้นเกิด และดับ ไม่มีแล้วมี แล้วหามีไม่ นั่นคือการใส่ใจในลักษณะของสภาพธรรม โดยที่ว่าเปลี่ยนเสียงไม่ได้ ฉันใด ทางตาก็เปลี่ยนสีที่กำลังปรากฏไม่ได้ แต่ไม่ใส่ใจ เพราะกำลังเริ่มเข้าใจว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง

    . ลักษณะที่ไม่มีแล้วมี แล้วหามีไม่ ใส่ใจตรงนี้หรือเปล่า

    สุ. พิจารณาลักษณะของสภาพที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมทีละขณะ และรู้ชัดว่า นามธรรมไม่ใช่รูปธรรม เพราะตั้งแต่เกิดจนตายทุกคนก็ทราบว่า มีสภาพธรรมเพียง ๒ อย่าง ไม่มีเราเลย แต่เพราะนามธรรมเกิดขึ้น รูปธรรมเกิดขึ้น แต่เมื่อไม่รู้สภาพที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมตามความเป็นจริง จึงยึดถือนามธรรม และรูปธรรมนั้นว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้น การที่จะละความไม่รู้ ก็คือเริ่มเข้าใจให้ถูกต้องว่า ที่เรียกว่านามธรรม ที่ได้ยินว่านามธรรม ที่ฟังแล้วเข้าใจว่านามธรรมไม่ใช่รูปธรรม เป็นสภาพรู้ ต้องในขณะที่กำลังเห็น เป็นอาการรู้ เป็นธาตุรู้ ในขณะที่ได้ยินก็เป็นอาการรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ในขณะที่ได้กลิ่น ในขณะที่ลิ้มรส ในขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ในขณะที่คิดนึก เป็นนามธรรมไม่ใช่รูปธรรม

    ในขณะที่นามธรรมปรากฏ หรือรูปธรรมปรากฏ ก็เพราะสติระลึกที่ลักษณะ ของนามธรรมนั้น หรือระลึกที่ลักษณะของรูปธรรมนั้น เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1904


    หมายเลข 13125
    23 ก.ย. 2567