สิ่งที่รักที่สุด ไม่มีอะไรที่จะเกินกว่าชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ อย่างไรก็ตามสิ่งที่รักที่สุด ไม่มีอะไรที่จะเกินกว่าชีวิต นี่เป็นความจริง
ขุททกนิกาย อุทาน โสณเถรวรรคที่ ๕ ราชสูตร มีข้อความโดยย่อว่า
พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ตรัสถามพระนางมัลลิกาว่า รักใครที่สุด พระนางมัลลิกาทูลตอบว่า ไม่รักใครยิ่งกว่าตัวเอง เมื่อพระนางมัลลิกา ทูลถามพระเจ้า ปเสนทิโกศลว่า ทรงรักใครมากที่สุด พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสตอบว่า ไม่รักใครยิ่งกว่าตัวเองเลย
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ไปเฝ้ากราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาค ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ใครๆ ตรวจตราด้วยจิตทั่วทุกทิศแล้ว หาได้พบผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าตนในที่ไหนๆ ไม่เลย สัตว์เหล่าอื่นก็รักตนมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น
พอจะเห็นใจคนอื่น ไม่ฆ่าสัตว์อื่นบ้างไหม เมื่อเปรียบเทียบกับจิตใจของท่านเอง ทุกคนกลัวภัยที่จะเกิดกับชีวิต โดยเฉพาะอันตรายที่ถึงกับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ก็ตาม แต่เวลาที่ท่านกำลังจะเบียดเบียนชีวิตของสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็ก สัตว์น้อย ท่านไม่ได้คิดถึงข้อนี้เลย จึงได้เบียดเบียนได้ จึงได้ฆ่าได้
คำอุทานที่พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งอุทานในเวลานั้นว่า ใครๆ ตรวจตราด้วยจิตทั่วทุกทิศแล้ว หาได้พบผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าตนในที่ไหนๆ ไม่เลย สำหรับบุคคลที่ฆ่าตัวเอง แม้ว่าจะไม่ได้ฆ่าบุคคลอื่น จะตรงกับคำอุทานที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงเปล่งอุทานในขณะนั้นไหม
ต้องตรง ไม่ตรงไม่ได้ ถ้าไม่ตรง คำอุทานนี้ก็ต้องผิด รักตน ทำไมฆ่าตน สิ่งที่ลึกอยู่ในจิตของทุกคน คือ อนุสัยกิเลส นอนเนื่องอยู่ในจิต แม้ว่าจะยังไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดปรากฏเป็นสภาพของอกุศลจิตประการต่างๆ ก็จริง แต่ว่าอนุสัยกิเลสที่มีประจำอยู่ในจิตมีถึง ๗
อนุสัยกิเลสมี ๗ คือ กามราคะ ๑ ปฏิฆะ ๑ ทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ มานะ ๑ ภวราคะ ๑ อวิชชา ๑
กามราคะ ความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งผู้ที่จะดับอนุสัยนี้ได้เป็นสมุจเฉท คือ พระอนาคามีบุคคล แม้แต่พระโสดาบัน พระสกทาคามีบุคคล ก็ยังคงมีราคานุสัยที่เป็นกามราคานุสัย ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
กำลังนอนหลับไม่ปรากฏว่า ปรารถนารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะใดๆ แต่ทันทีที่ตื่น ต้องการอะไรบ้าง จะไม่พ้นจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นความปรารถนาที่มีประจำอยู่ในใจ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะตามที่ต้องการ ยังมีความปรารถนาอย่างนั้นอยู่ แต่เมื่อไม่เป็นอย่างนั้น ไม่สมปรารถนา จึงฆ่าตัวตาย เพราะว่าไม่สามารถจะทนต่อสภาพที่จะไม่ได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา
เพราะฉะนั้น แม้บุคคลที่ฆ่าตัวตาย ก็เป็นเพราะเหตุว่า มีความพอใจ ยินดี ยึดมั่นในกาม คือ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในภว ในภพ ที่ต้องการ แต่เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการ คือ ยังยินดีในสิ่งที่ต้องการ ไม่ใช่ว่าหมดความยินดีในภพ ยังมีความยินดี แต่เพราะไม่ได้ตามที่มีความยินดี ก็ไม่สามารถที่จะทนต่อสภาพที่จะได้สิ่งที่ไม่ตรงกับความปรารถนา จึงฆ่าตัวตาย
มีประโยชน์ไหมการฆ่าตัวตาย หนีภพไม่ได้ เมื่อยังมีอนุสัยกิเลสอยู่ ก็จะต้องมีการเกิด แล้วแต่ว่ากรรมจะทำให้เกิดในอบายภูมิ ในนรก หรือว่าเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์ดิรัจฉาน แต่จะพ้นจากความปรารถนาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในภพไม่ได้เลย ยังคงมีความปรารถนานั้นติดตาม นอนเนื่องอยู่ในจิต ซึ่งกรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิ ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิ หรือในสุคติภูมิ
เพราะฉะนั้น ถ้าบุคคลใดได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นสุคติภูมิ ไม่ควรเลยที่จะฆ่าตัวตาย เพราะเหตุว่าไม่พ้นจากกิเลส และยังแล้วแต่กรรมว่า กรรมนั้นจะทำให้ปฏิสนธิในภพใด ภูมิใด ถ้าเป็นในภพภูมิที่ไม่สามารถจะฟังธรรม ไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่สามารถที่จะอบรมเจริญกุศลได้ ก็ย่อมจะตกลงไปสู่ทางที่ต่ำ ไม่ใช่ไปสู่ทางที่เจริญ
ที่มา ...