ทำปาณาติบาตด้วยความจำเป็น
ถ. เราอาจจะต้องทำปาณาติบาตด้วยความจำเป็น อย่างเช่น เป็นตำรวจไปต่อสู้กับผู้ร้าย หรือเราต้องป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้าย เช่น งูพิษ เวลาที่เราจะทำปาณาติบาต เราเจริญสติได้ไหม
สุ. หนีไม่พ้น เรื่องของปาณาติบาต เพราะว่าไม่ใช่พระโสดาบันบุคคล แต่เป็นผู้ที่กำลังเจริญกุศลธรรม เพื่อจะละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือนามธรรม และรูปธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องบังคับ แต่เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาด้วยตัวเอง สภาพธรรมใดเป็นกิเลส เป็นอกุศล ก็ต้องยอมรับว่า เป็นกิเลส เป็นอกุศล
ผู้ที่ยังไม่ใช่เป็นพระโสดาบันบุคคล ยังมีกิเลสที่จะทำให้กระทำปาณาติบาต แต่ก็เป็นผู้ที่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นผู้ทุศีล รู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศล เป็นปาณาติบาต ก็ยังดีกว่าไม่รู้ และเมื่อรู้แล้ว เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ก็ย่อมจะเจริญกุศลที่จะให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน ซึ่งจะเป็นผู้ที่ไม่กระทำปาณาติบาตเลย และทางเดียวที่จะเป็นไปได้ ก็ด้วยการเจริญสติ
ยับยั้งตัวเองไม่ให้กระทำปาณาติบาตไม่ได้ แต่ที่จะยับยั้งได้จริง คือ คุณธรรมการบรรลุเป็นพระโสดาบันบุคคลเท่านั้นที่จะละได้
ในพระไตรปิฎก ท่านผู้ฟังจะเห็นชีวิตของพระอรหันต์หลายท่าน ที่ท่านกล่าวถึงอดีตกรรมในอดีตชาติของท่าน ซึ่งท่านก็เป็นผู้ที่ฆ่าสัตว์เลี้ยงชีพบ้าง หรือว่าได้กระทำปาณาติบาต แต่ก็ได้กระทำกุศล และเมื่อกุศลให้ผล ทำให้ท่านพ้นจากการที่จะต้องกระทำอกุศลเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งสำหรับผู้ที่ได้กระทำอกุศลกรรมไปแล้ว จะไม่พ้นจากผลของกรรมนั้น ตราบใดที่ยังไม่ปรินิพพาน
พระผู้มีพระภาคนั้น ไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดสามารถที่จะปลงพระชนม์ได้เลย นี่เป็นเพราะพระบารมีที่ได้สะสมมา แต่แม้กระนั้น พระองค์ก็ยังทรงประชวร และมีเหตุที่จะให้เกิดทุกขเวทนา เช่น เมื่อท่านพระเทวทัตกลิ้งหิน สะเก็ดหินกระทบ พระบาท เป็นต้น นี่เป็นผลของอดีตอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังคงมีภพชาติต่อไป ก็ให้ทราบว่า ขณะใดที่เป็นอกุศลวิบาก ขณะนั้นก็เป็นผลของอกุศลกรรม ขณะใดที่เป็นกุศลวิบาก ขณะนั้นก็เป็นผลของกุศลกรรม
ที่มา ...